[Steve/Bucky x Tony] Jerks

Title: Jerks

Pairing: Steve/Bucky x Tony

Author: SaRa_PAO

Gerne: Comedy

Rating: PG

Note: เป็นฟิคจาก #จะแต่งฟิคให้คนที่มาโควตทวิตนี้หนึ่งหน้าเอห้า ค่ะ // ฟิคนี้แต่งให้คุณ @Ja_TJT

 

ในชีวิตของโทนี่ สตาร์คมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาเยอะมากชนิดที่เรียกได้ว่ายิ่งกว่าห่ากระสุนในสมรภูมิรบ มันมีทั้งเรื่องมีสาระและไร้สาระปะปนกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวไหนเขามักจะรับมือได้ตลอด ยกเว้นการมีแฟนทีเดียวสองคน แถมยังเป็นคนหลงยุคที่เป็นเพื่อนสนิทกันอีก

ความเป็นมาว่าพวกเราคบกันได้ยังไงขอข้ามแล้วกันเพราะหน้ากระดาษไม่พอ เอาเป็นว่าตอนนี้เขากำลังคบกับสตีฟและบั้คกี้อยู่

ชีวิตมันก็ควรดูแฮปปี้ใช่มะ ถ้าไม่ติดว่าพวกพี่แกทั้งสองชอบเขม่นใส่กันเพื่อแย่งตัวเขา อันที่จริงโทนี่ยอมรับว่าในตอนแรกเขาก็รู้สึกดีที่ทำให้ทั้งคู่ขัดแย้งกันเองได้ แต่พอนานวันเข้ามันเริ่มไม่สนุกเท่าที่ควรเมื่อพวกพี่แกเล่นพังข้าวของในบ้านของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

นี่มันยิ่งกว่าซีวิลวอร์ พูดเลย

อันที่จริงวิธีที่สองคนนั้นใช้สู้กันมันไม่ได้อันตรายกับใคร…ยกเว้นเขา ทั้งสองใช้วิธีพะเน้าพะนอและตามเอาอกเอาใจเขาโดยมาพร้อมกันในเวลาเดียวกันเช่นตอนนี้

โทนี่ยืนซีดเป็นกระดาษเอสี่ดับเบิ้ลเxเมื่อสตีฟทำจานแพนเค้กตกลงบนโต๊ะทำงานของเขาในห้องแล็ป แถมน้ำผึ้งเหนียวๆ ก็ไหลเยิ้มลงมาเปื้อนกล่องเครื่องมือที่วางอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานอันน่าสงสาร ส่วนบั้คกี้ก็ทำกาแฟหกลงลนแป้นพิมพ์ที่เขายังแก้สมการสร้างอาวุธใหม่ให้รัฐบาลไม่เสร็จ ของเหลวสีดำไหลลงบนสายไฟของคอมพิวเตอร์จนมันช็อตและหน้าจอก็ดับวูบในเวลาต่อมา กลิ่นควันลอยขึ้นเตะจมูก

บั้คกี้หันไปมองโทนี่ด้วยสายตาตกใจ หน้าซีดสนิทยิ่งกว่าสีขาว เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วกระดึ๊บไปตามขอบโต๊ะเพื่อหาจังหวะหนี

“มันเกิดอะไรขึ้น” โทนี่ถามเขาและสตีฟ “อะ-ธิ-บาย-มา-เดี๋ยว-นี้”

“ฉันอาสาเก็บโต๊ะให้นายแต่บั้คกี้บอกจะเป็นคนทำ เราเลยตกลงกันว่าจะช่วยกันทำแล้วแบบว่า…”

โทนี่หัวเราะเหอๆๆ ในลำคอด้วยเสียงชวนสยอง เขาก้าวเข้าไปหาสตีฟที่ตัวหดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนแสยะยิ้มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

บั้คกี้ที่เห็นว่าเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤตเทียบขั้นวันสิ้นโลกได้รีบกระดึ๊บไปยังประตูแล้วเผ่นแนบก่อนโดนไททัxโทนี่กระซวกไส้ไหลทะลัก

อยู่ไม่ได้แล้วตู

ตัดฉากกลับมาที่สตีฟและโทนี่ ปู่หลงยุคเหงื่อแตกพลั่กพลางมองคุณแฟนผู้น่ากลั…รักด้วยรอยยิ้มหวาน แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเมื่อโทนี่ประกาศกร้าวด้วยสายตาอาฆาตแค้นที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก

“แก-ตาย”

 

THE END
18/07/2016
ไม่รู้ว่ามันฮามั้ยแต่ฮาเถอะค่ะ #อ้าว 55555 ขอบคุณที่มาร่วมสนุกกันน้าา :3

[Steve x Tony] Drawing

Title: Drawing

Pairing: Steve x Tony

Author: SaRa_PAO

Gerne: Drama (?)

Rating: PG

Note: เป็นฟิคจาก #จะแต่งฟิคให้คนที่มาโควตทวิตนี้หนึ่งหน้าเอห้า ค่ะ // ฟิคนี้แต่งให้คุณ @Pm2_Pom

 

สตีฟรู้ว่ามันยากในการทำให้โทนี่ยอมให้อภัยเขากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่อาจสั่งหรือคาดหวังให้โทนี่มาเห็นใจได้ แม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่อาจล้มเลิกแผนการง้อที่กำลังดำเนินอยู่นี้ได้เลย

สตีฟฉีกยิ้มให้โทนี่ที่เปิดประตูบ้านออกมาด้วยใบหน้าบูดสนิท นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและเย็นชาในแบบที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน แม้กระนั้นมันก็ยังแฝงความเจ็บช้ำเอาไว้ด้วย และนี่มันทำสตีฟเจ็บไปทั้งใจจนร่างกายอ่อนแรง แทบปล่อยสมุดสเก็ตซ์ภาพในมือร่วงไปกองกับพื้น

ดวงตาของคุณดูเศร้าเหลือเกินเวลาที่คุณมองผม

“ผมแวะเอาของมาให้ครับ” สตีฟเริ่มบทสนทนา โทนี่ไม่ได้ตอบอะไรและเอาแต่มองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น “งั้นผมวางไว้ที่หน้าประตูนะครับ”

สตีฟพูดจบก็วางสมุดภาพในมือลงบนพื้นหน้าประตูบ้านของโทนี่ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปยังที่ที่จากมา

เมื่อเห็นว่าสตีฟลับสายตาไปแล้วโทนี่ก็หยิบสมุดภาพบนพื้นขึ้นมาเปิดดู ด้านในปรากฏภาพวาดของเขาในอิริยาบทต่างๆ มันมีทั้งยิ้ม เดิน หัวเราะ รวมไปถึงร้องไห้ ภาพวาดเสมือนจริงของเขามันสวยมากจนเขาอดชมฝีมือการวาดรูปของสตีฟอยู่ในใจไม่ได้ แล้วต้องชะงักเมื่อเขาเปิดหน้าต่อไปแล้วเจอเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่สตีฟทิ้งโล่ลงพื้นพร้อมเดินจากเขามาพร้อมกับบาร์นส์ ด้านล่างของภาพมีข้อความเขียนอยู่

‘ที่ปล่อยคุณไปเป็นเพราะผมยังดีไม่พอ’

โทนี่เผลอกำสมุดสเก็ตซ์ภาพแน่น เขากะพริบตาถี่แล้วกลั้นใจเปิดหน้าต่อไป แล้วภาพคู่ของเขาและปู่หลงยุคก็ปรากฏแก่สายตา มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่พวกเราหัวเราะด้วยกัน สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันอย่างเดิมราวกับนี่เป็นเมมโมรี่ที่ก็อปปี้มาจากความทรงจำของผู้วาด ด้านล่างของภาพมีคำอธิบายที่เขียนไว้ด้วยลายมือบรรจง

‘ทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปผมยังเหมือนเดิม และคอยภาวนาว่าขอให้เราได้เจอกันอีก ได้โปรดลองคิดทบทวนดูใหม่ได้มั้ย

โทนี่ไม่เข้าใจแต่ก็เอะใจขึ้นมานิดหน่อย เขาเปิดหน้าต่อไปก่อนมันจะปรากฏภาพเขาและสตีฟมองตากันอย่างสื่อความหมาย ฉากหลังเป็นดอกลิลลี่สีขาวที่บานสะพรั่งล้อมรอบพวกเราไว้ และคำอธิบายที่อ่านยังไงก็ชวนให้อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ทุกที

‘ให้อภัยผมได้มั้ยครับ คุณสตาร์ค’

 

THE END
18/07/2016
ทำไมต้องลิลลี่ขาว? เพราะความหมายของดอกลิลขาวหมายถึงการขอโทษ
ทำไมต้องวาดภาพ? เพราะปู่อยากให้โทนี่รู้ว่ามาง้อด้วยใจจริงอย่างจริงใจ
ขอบคุณที่มาร่วมสนุกกันนะคร้าบ

[SF] SteveTony: It wasn’t worth it

Title: It wasn’t worth it

Paring: STEVE x TONY [SF SteveTony]

Author: SaRa_PAO

Rate: 20+ (NC/Drama)

Note: ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอ่านโดเรื่องหนึ่ง เนื้อหาเกือบทั้งเรื่องเป็นฉากอย่างว่าที่ SM มาก ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ

ลูกกลวงปากคือเจ้านี่ >> จิ้ม

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 

หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง สตีฟ โรเจอร์ส หรือ กัปตันอเมริกาก็โดนจับกุมและถูกส่งตัวไปคุมขังยังที่ที่ไม่มีใครรู้เว้นก็แต่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโทนี่ สตาร์ค

เมื่อมาอยู่ที่นี่สตีฟโดนทรมานอย่างหนักเพื่อให้สารภาพและยอมรับข้อกล่าวหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เขาพยายามฝ่าฝืนและต่อต้าน ทว่ายิ่งเขาปฏิเสธมากเท่าไหร่เครื่องทรมานที่ตีตราสตาร์คอินดรัสทรี่ก็ยิ่งทรมานเขาจนสุดท้ายจิตใจก็โดนความมืดครอบงำ สตีฟเปลี่ยนไป ไม่ใช่กัปตันอเมริกาที่คอยช่วยเหลือผู้คนอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสัตว์ร้ายที่รอแก้แค้นคนที่มันทำเขาเจ็บถึงเพียงนี้ เขาเฝ้าหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการของสตาร์คอินดรัสทรี่กระทั่งทำสำเร็จในที่สุด มันตรงกับวันที่โทนี่มาเยี่ยมเขาพอดี และแล้ววันที่เขารอคอยอย่างยาวนานก็มาถึงเสียที

ปึ้ง! ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยรอยแส้จนเนื้อแตกโดนกระชากหัวไปโขกกับตู้กระจกที่ใช้คุมขังอดีตกัปตันอเมริกา กลิ่นเลือดโชยขึ้นมาทันที ความมึนงงปะทะจนเขาตั้งตัวไม่ติด ความเจ็บแปลบแทรกผ่านทุกอณูความรู้สึก ก่อนจะโดนกระชากผมให้หันไปมองใบหน้าคมที่ดวงตาไร้ซึ่งแววใดๆ

“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ คุณสตาร์ค”

“ผมนึกว่าคุณตายไปแล้วซะอีก กัปตัน”

“ยังปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะ โทนี่ สตาร์ค”

น้ำเสียงไม่พอใจดังลอดไรฟันคนตัวใหญ่ ดวงตาคมกริบจ้องโทนี่ราวกับจะฉีกร่างเป็นชิ้นๆ หากยังกล้าพูดอะไรอีก เขาไม่สนใจและจ้องกลับไปอย่างท้าทายเช่นกันแม้ว่าในใจจะกลัวมากแค่ไหนก็ตาม กัดฟัน กำมือซึ่งถูกอีกฝ่ายสวมที่รัดข้อมือไว้เอาไว้แน่น ก่อนจะโดนกำผมแน่นจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นเพราะหนังหัวเหมือนกระชากอยู่ ลมหายใจดังฟืดฟาดเมื่อเจ็บและเกร็งต้นคอจนปวดไปหมด

โทนี่ในตอนนี้ถูกสตีฟใช้เชือกรัดตัวรวบแขนมัดไว้กับลำตัวเพื่อไม่ให้ขัดขืน สวมปลอกคอพร้อมสายจูงที่รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แถมยังถูกที่รัดข้อเท้าสวมไว้อีกด้วย ก่อนเขาจะโดนคนตัวใหญ่สวมลูกกลวงปากเข้าที่ปากแน่นเสียจนแทบพูดไม่ได้ เขาเบิกตากว้างและดิ้นให้หลุด แต่กลับโดนตบจนหน้าหันไปทางซ้ายมือตัวเอง กลิ่นคาวเลือดลอยเตะจมูก ความชาที่แก้มทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันร้ายแบบที่เคยเป็น

มือใหญ่บีบแก้มเขาให้หันไปมอง ใบหน้าคมยื่นมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป่ารด โทนี่จ้องดวงตาคมอย่างเอาเรื่องและสู้ไม่ถอย แต่มันกลับเรียกสายตาสนุกสนานจากอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น สตีฟหัวเราะในลำคอฟังดูขนหัวลุก ใช้มืออีกข้างที่ว่างไล้ไปตามตัวตั้งแต่อกไปจนถึงแก่นกลางของเขา เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อมันโดนกอบกุมเอาไว้ด้วยมือเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นเบาๆ ขนลุกไปทั้งตัว พยายามเบียดตัวออกห่างแต่คนตัวหนากลับแนบเข้าหาจนเกือบทุกสัดส่วนของเราชนกัน

“คุณรู้มั๊ยคุณเพลย์บอย ว่ามันมีเซ็กส์อยู่ประเภทหนึ่งที่ทำให้เราคลั่งจนตายได้ ถ้าไม่รู้ล่ะก็ ผมจะสอนคุณเอง อาจจะสอนได้ไม่เชี่ยวชาญเท่ากับคุณ แต่รับรองเลยว่าการสอนของผมสนุกไม่แพ้กันเลยครับ”

“อื้อออ!”

โทนี่ส่ายหน้าเป็นพัลวันเมื่อมือที่บีบแก้มเขาอยู่เลื่อนไปเค้นคลึงสะโพก เขามองสตีฟอย่างไม่พอใจโดยหวังว่าอีกคนจะยอมหยุดเหมือนทุกที แต่ไม่เลย สตีฟกลับใช้มือข้างที่กอบกุมส่วนกลางลำตัวเขาชักรูดมันขึ้นลงแผ่วเบา เขาหลับตาแน่นเมื่อสัมผัสกำลังถูกปลุกขึ้นมา บิดตัวและหาทางหนีจากปาจร้ายตรงหน้า พยายามปฏิเสธมันแต่ทำได้ยากเหลือเกินเมื่อเริ่มโดนสัญชาตญาณเข้ามาแทนที่สติ

“กลัวเหรอ โทนี่” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามข้างหู เขาปรือตาขึ้นมองอีกฝ่าย “ทั้งที่คุณออกจะชอบเรื่องแบบนี้แท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโทนี่ สตาร์คกลัวเซ็กส์”

“…”

เขาเงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบหากแต่โดนปิดทางไม่ให้ตอบ เมื่อสตีฟเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับไปก็กระตุกยิ้มขึ้นครู่หนึ่งแล้วแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา เขารู้ว่านี่มันเป็นสีหน้าที่หลอกลวงที่สุดเท่าที่เคยเจอ แล้วมันก็น่ากลัวมากที่สุดเท่าที่เคยเจอด้วยเช่นกัน

“เรามาเริ่มบทเรียนกันเลยดีกว่า เวลาไม่คอยท่านะครับ คุณสตาร์ค”

“ไอ้เอา (ไม่เอา)” โทนี่ฝืนพูดก่อนโดนตบจนหน้าหันไปทางขวา “ไอ้… เอา… (ไม่… เอา…)”

“คุณนี่ไม่มีรยาทยังไงก็ยังไม่มีมารยาทอยู่วันยังค่ำ ผู้ใหญ่พูดอะไรห้ามเถียงรู้มั๊ย ต้องฟังเงียบๆ แล้วปฏิบัติตามเท่านั้น”

สตีฟพูดจบก็ส่งยิ้มกว้างให้เขา ผละมือออกไปจากสะโพกทว่ามืออีกข้างกลับอยู่ที่เดิม นิ้วโป้งของแคปไล้ไปตามปลายก่อนถูเร็วขึ้นเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้ตื่นขึ้นมา เขาถดตัวหนี หลับตาแน่น เม้มลูกกลวงจนปากเจ็บไปหมด พยายามตั้งสติให้อยู่กับตัวและไม่เดินตามเกมปัญญาอ่อนของอีกฝ่าย ดูเหมือนคนตัวใหญ่จะรู้จึงชักรูดส่วนกลางลำตัวเขาขึ้นลงจากเนิบนาบเปลี่ยนเป็นเร็วตามลำดับ ก้มหน้าลงหยอกเย้ากับแผ่นอกที่กระเพื่อมตามจังหวะหายใจของเขา และนี่ทำให้สติที่เขาประคองไว้เริ่มจางไปทีละน้อย

“อุด! (หยุด!)” โทนี่พูดออกมาอย่างยากลำบากแต่อีกฝ่ายกลับเร่งจังหวะมากกว่าเดิม “อื้อ…อึ้ก”

“อย่าปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองชอบสิ ทีแต่ก่อนตอนอยู่ด้วยกันคุณแทบจะลากผมเข้าห้องไปสนองให้คุณทุกคืน นี่ไงครับ ผมกำลังสนองให้คุณอยู่ ถ้ายังไม่ยอมเชื่อฟังกันดีๆ ผมจะทำโทษคุณนะ โทนี่”

โทนี่ไม่สนใจ ถดตัวหนีออกห่างจากอีกฝ่าย จ้องมองกลับไปด้วยความเจ็บช้ำและคับแค้นใจ ลมหายใจแรงเพราะอารมณ์คุกรุ่นที่ปะทุอยู่ในอก สตีฟผละตัวออกไปในที่สุด คิ้วเข้มเลิกขึ้น สีหน้าฉงนจนเห็นได้ชัด ก่อนก้มหน้าลงจนผมปรกหน้าแล้วเงยขึ้นพร้อมชกเข้าลิ้นปี่จนเขาจุกตัวงอ ดวงตาเขาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ภาพของสตีฟผู้อ่อนโยนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาเหลือไว้แต่สัตว์ร้ายที่กำลังจะฆ่าเขา

“ชอบแบบซาดิสม์ก็ไม่บอกนะครับ คุณสตาร์ค” สตีฟก้มมากระซิบข้างหู “เพราะผมจะได้จัดให้”

“…”

โทนี่จุกจนพูดไม่ออก ผมเขาโดนกระชากให้เงยหน้าขึ้น มือใหญ่ดันหน้าผากเขาให้หัวชิดกระจกห้องขัง จากนั้นก็ก้มลงกัดยอดอกเขาอย่างแรง

“อื้อ!!” เขาร้องลั่น ประสาทสัมผัสทุกด้านตื่นขึ้นทันที ร่างกายเกร็งไปหมด “อะ…เอ็บ (จะ…เจ็บ)”

“ถือเป็นการทำโทษเด็กนิสัยไม่ดีที่ขัดขืนคำสั่งของผู้ใหญ่” พูดจบสตีฟก็กัดอีกข้างด้วยแรงเท่าเดิม

“อื้อ! อึ้ก… ฮึก”

ไม่รู้ทำไมแต่โทนี่คิดว่าครั้งนี้มันกลับเจ็บกว่าครั้งแรก เขาเม้มริมฝีปากกับลูกกลวงจนปากแตก แสบไปทั้งตัว แม้แต่หัวใจก็เช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าอะไรถึงทำให้สตีฟที่เขารู้จักเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ สตีฟที่เขารักหมดหัวใจหายไปไหนทำไมถึงเหลือแต่สตีฟ โรเจอร์สที่ไม่ต่างอะไรจากปีศาจตนหนึ่ง

“อึ้กอื้อ…อืม” เขาครางเสียงเบาเมื่อโดนเลียท้องน้อยใกล้กับแก่นกลาย “อื้ม…อื้ออ”

สตีฟไม่ได้พูดอะไรและยังคงหยอกเย้าบริเวณเดิมอยู่อย่างนั้นเหมือนเด็กที่กำลังสนุกตอนเล่นของเล่น เขาพยายามถดหนีอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จแถมยังโดนทำร้ายร่างกายจนช้ำและเจ็บไปหมด แรงที่เหลือไว้ต่อต้านก็แทบไม่มีอยู่อีกแล้ว เหมือนร่างกายโดนดูดพลังออกไปจนหมด ดวงตาปรือไปตามแรงปรารถนาที่คนตัวสูงปลุกขึ้นมา ร่างกายตอบรับราวกับมีความสุขร่วมกับอีกฝ่าย ทว่าภายในใจกลับบอบช้ำและมืดหม่นจนยากจะบรรยายเป็นคำพูด

แล้วโทนี่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อโพรงปากอุ่นครอบครองแก่นกายเขาเอาไว้พร้อมขยับขึ้นลง เรียวลิ้นร้อนไล่เลียตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนกลัวหากทำไม่หมดแล้วจะมีตรงใดตรงหนึ่งน้อยใจ จากนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นจนโทนี่สติกระเจิง เผลอแอ่นสะโพกสวนกลับตามอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมา ไฟรักโหมกระพือจนยากจะดับ ภายในหัวขาวโพลน รับรู้ก็แต่สัมผัสจากอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น เขาพยายามส่งเสียงครางเพื่อลดความเสียวซ่านที่พุ่งเข้าปะทะไม่หยุด ราวกับโดนยิงด้วยปืนในคราเดียว จังหวะถูกเร่งขึ้นอีกครั้งจนโทนี่หายใจไม่เป็นจังหวะ ไขว่คว้าหาที่ยึดเมื่อขามันอ่อนแรงไปหมด เรือนผมนุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อสะบัดไปมา จังหวะถูกเร่งเร็วขึ้นจนโทนี่ใกล้ถึงฝั่งฝันเต็มที ร่างทั้งร่างเกร็งแน่นพร้อมปลดปล่อยแต่ความฝันก็ต้องพังลงไปเมื่อสตีฟผละริมฝีปากออก เขาปรือตาขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่ลุกขึ้นมายืนประจัญหน้ากันตามเดิม รอยยิ้มสมเพชส่งมาให้ เขาหายใจหอบและบิดตัวเพื่อบอกให้คนตัวสูงรู้ว่าอยากปลดปล่อยจริงๆ

“อย่าเพิ่งรีบสิ ที่รัก เวลาของเรายังเหลือเฟือ”

คนตัวสูงพูดเสียงแหบพร่า เอื้อมมือเข้าในกระเป๋ากางเกงหยิบที่ครอบมาสวมลงบนปลายแก่นกายของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันทีเมื่อมันรัดแน่นจนอึดอัดและทรมาน ไม่เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายยังใช้สลิงสอดเข้าในรูบริเวณปลายเพื่อกันไม่ให้มีอะไรไหลออกมา ความคับแน่นจวนเจียนจะระเบิดเข้าครอบงำสติทั้งหมดจนเขาถึงกับทรุดไปนั่งกับพื้น หายใจหอบแรง ช้อนสายตามองอีกฝ่ายไม่สนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้เขาแค่อยากปลดปล่อยมันออกไป ขอแค่นี้ จะให้เขาทำอะไรเขาก็ยอม สตีฟส่งสายตาเข้าใจมาให้

“อยากปลดปล่อยเหรอ โทนี่” เขาพยักหน้ารัวๆ สตีฟหัวเราะลั่น “งั้นก็ขอร้องให้ผมยอมช่วยสิ”

เขาไม่ตอบ ในใจรับรู้ได้ถึงความเจ็บร้าวที่ลึกลงไปอีก สตีฟท้าวเอวมองเขาอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เดินมาแกะลูกกลวงปากออกให้ก่อนประกบริมฝีปากลงมา เรียวลิ้นหนาสอดเข้ามาเก็บเกี่ยวทุกอย่างที่ตัวเองอยากได้กลับไป มันเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา ริมฝีปากหนาดูดดึงริมฝีปากเขาอย่างหื่นกระหาย เขาพยายามตอบสนอง ยอมทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายพอใจเพื่อจะได้ปลดปล่อยเสียที พยายามออดอ้อนเหมือนลูกแมวอยากหาเจ้าของ ตอบรับทุกอย่างเมื่ออีกฝ่ายสนองมา ในหัวคิดแต่เรื่องปลดปล่อยเท่านั้น

“อยากปลดปล่อยหรือเปล่า โทนี่” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหู “ตอบผมที”

“หยะ…อยาก อยาก อยาก อยาก” โทนี่ย้ำ อีกฝ่ายยกยิ้ม “อยาก…อยาก”

สตีฟไม่ตอบแต่จับเขานอนหงายกับพื้นพร้อมอ้าขาเขาออก จากนั้นก็ลุกไปหยิบไวเบรเตอร์มากดเปิดสวิตซ์ ถูไถมันไปตามช่องทางของเขา เขาสะดุ้งโหยง ขาสั่นและอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด ความคับแน่นเพิ่มขึ้นอีก สลิงที่เสียบอยู่ด้านในโดนดันขึ้นมาเล็กน้อยแต่สตีฟกลับกดมันลงตามเดิม ความเจ็บแล่นริ้ว

“อ๊าาา! หยะ…อย่าทำแบบนี้ ได้โปรด ฉันอยากปลดปล่อยจริงๆ”

“คนปากแข็งแบบคุณ ถือทิฐิแบบคุณ เอ่ยขอร้องผมอย่างงั้นเหรอ”

“…ใช่” โทนี่กัดฟันกรอด “แต่อย่าได้เข้าใจผิดล่ะ เพราะมันจำเป็นต้องเอาตัวรอดต่างหาก”

สตีฟยกยิ้ม ลูบแก้มของเขาขึ้นลงแผ่วเบาจากนั้นก็สอดไวเบรเตอร์ที่สั่นไม่น้อยเข้าไปภายใน เขาสะดุ้ง หนีบขาเข้าหากันเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ แต่คนตัวใหญ่กลับใช้มืออ้าขาเขาออกกว้าง สอดไวเบรเตอร์เข้าไปจนสุด จากนั้นก็ชักเข้าชักออกโดยไม่ให้เขาได้ตั้งแต่แม้แต่น้อย

เขาครางกระเส่าตามอารมณ์ที่โดนปะทุขึ้นมา หายใจผิดหายใจถูกมั่วไปหมด เผยอปากส่งเสียงร้องอย่างสุขสมตามแรงปรารถนาที่ได้รับ รู้สึกได้ถึงสลิงที่โดนดันขึ้นเรื่อยๆ พร้อมความคับแน่นที่อยากปะทุเต็มที แต่มือหนากลับกดมันกลับและใช้นิ้วโป้งกดเอาไว้ เขาร้องลั่นอย่างทรมาน สะบัดหน้า บิดตัวเร่าๆ ช้อนสายตาอ้อนวอนมองสตีฟที่หัวเราะกับการกระทำของตัวเองอย่างสนุกสนาน

ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ สตีฟก็กระชากสายคล้องคอให้เขาลุกมาคุกเข่า คนตัวใหญ่ปลดเปลื้องกางเกงตัวเองออกไปอยู่ที่ข้อเท้า แก่นกลางอีกฝ่ายชูชันอยู่ตรงหน้า เขารู้ทันทีว่าสตีฟต้องการอะไร

“ช่วยให้ฉันปลดปล่อยก่อนสิ แล้วฉันจะช่วยนายเหมือนกัน”

“นายเปลี่ยนไปมากนะ อึ้ก …รู้มั๊ย กัปตัน”

“คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปไม่ใช่ตัวผม โทนี่”

สตีฟตอบ เขาจับได้ว่ามันฟังดูเศร้าและแฝงไว้ด้วยความแค้นบางอย่าง ก่อนมันจะกลับไปเป็นเย็นชาชวนขนหัวลุกตามเดิม คนตัวใหญ่ก้าวมาอยู่ด้านหน้าเขา จับหัวเขาแน่นแล้วดันให้เข้าไปใกล้ของสงวนของตัวเอง มือใหญ่ดึงรั้งปลอกคอให้ตึงกว่าเดิมจนเขาหายใจแทบไม่ออก ต้องรีบจับต้นขาอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อบอกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่มันทรมานมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสุขสมเมื่อเห็นเขาทุกข์ทรมาน

“ไม่อยากทรมานมากกว่านี้ก็รีบทำตามที่สั่งซะสิ คุณสตาร์ค”

“อั้ก…หะ หายใจไม่ออก อึ้ก อื้อ”

“เร็วสิ” สตีฟเร่งแล้วรั้งสายจูงมากขึ้น “อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีก”

โทนี่เริ่มหน้ามืดเมื่อลมหายใจแทบไม่เหลือ ต้องยอมอ้าปากครอบครองแก่นกายอีกฝ่ายเข้ามา รสชาติแปลกๆ ทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย แต่เมื่อคุ้นชินกับมันความรู้สึกนั้นก็จางหายไป เขาเริ่มจากจังหวะช้าๆ ก่อนเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงครางต่ำอย่างสุขสมจากอีกฝ่าย มือใหญ่ขยำผมเขาแน่นและสวนสะโพกกลับมาไม่หยุด แถมยังเร็วกว่าที่เขาจะตอบสนองได้อีก ความรู้สึกเจ็บใจถาโถมเข้าใส่จนโทนี่ต้องหลับตาลงแน่น กล้ำกลืนฝืนทนทำออรัลเซ็กส์ให้แฟนเก่าที่สร้างบาดแผลใหญ่ไว้ในจิตใจ ไม่นานสตีฟก็ปลดปล่อยทุกอย่างเข้ามาในปากจนเขาสำลัก อยากจะคายน้ำขาวขุ่นฝาดขมคอออกไปให้หมดแต่มือใหญ่กลับเอื้อมมาปิดปากพร้อมบังคับให้เขากลืนมันลงไปทั้งหมด เขาจำเป็นต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เด็กดี” สตีฟพูดชมแล้วก้มลงจูบขมับเขาแผ่วเบา “ตามสัญญา ฉันจะให้นายปลดปล่อย”

โทนี่ลิงโลดเมื่อตัวเองจะได้ปลดความทรมานนี้ไปเสียที แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดเมื่อสตีฟเอื้อมไปดึงไวเบรเตอร์ออก จากนั้นก็นั่งลงพร้อมดึงเขาให้ขึ้นคร่อม คนตัวสูงยกสะโพกเขาขึ้นก่อนสอดนิ้วเข้าไปทีเดียวสามนิ้ว นั่นทำเขาตกใจจนเกร็งแน่น มันเจ็บและจุกจนไม่กล้าขยับ เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา กำลังจะถามแต่กลับต้องเปลี่ยนเป็นครางเมื่อสตีฟขยับนิ้ว ช่องทางตอบสนองตามจังหวะคนตัวสูง

“อ๊ะ…อ๊า อ่าห์~…หยะ หยุดแกล้ง กันเสียที”

“มีแรงแค่นี้เองเหรอ” สตีฟถาม “ผิดหวังจัง”

เขาไม่รู้ว่าที่สตีฟพูดหมายถึงอะไร แต่มันก็ทำเขาทั้งอายทั้งโกรธจนหน้าแดง คนตัวใหญ่หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีแล้วขยับนิ้วให้เร็วขึ้น เขาบิดเร่าจนตัวรวมถึงข้อมือโดนเสียดสี รู้สึกแสบไปหมด เจ็บด้วย แต่มันก็เสียวซ่านและรู้สึกดีจนเขาปฏิเสธไม่ลงเช่นกัน ยิ่งร่างกายโดนกระแทกเข้ามามากเท่าไหร่เขาก็อ้าปากครางดังเท่านั้น หายใจกระเส่าเมื่อความคับแน่นดันสลิงขึ้นได้ครึ่งหนึ่ง เขามองมันและขอให้สตีฟไม่เห็น แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้าง มือหนากดมันลงกลับไปที่เดิมและนั่นทำให้เขาเจ็บมากจนน้ำตาซึม

 

You’re the pain

You’re the fear

 

“ผมโดนทรมานมากกว่าที่คุณโดนหลายร้อยเท่า” สตีฟพูดอยู่ข้างหู เขาหันไปมองอีกฝ่ายที่มองเขาด้วยสายตาเศร้า “เครื่องมือทรมานรวมถึงที่คุมขังนี่ มันมาจากบริษัทคุณ โทนี่ คุณทำร้ายผมจนเกือบตาย”

“…ไม่ใช่ ผมไม่ได้ อ๊า ไม่ได้เป็นคนสั่ง อึ้ก อื้อ เชื่อผมเถอะ”

“ถ้าไม่ใช่คุณสั่งแล้วใครจะเป็นคนสั่ง นี่มันของๆ คุณทั้งนั้น”

โทนี่ส่ายหน้าปฏิเสธแต่สตีฟไม่สนใจ สายตากลับไปว่างเปล่าเช่นเคย จากนั้นนิ้วทั้งสามก็ถอนออกไปก่อนอะไรอย่างอื่นที่แข็งขืนและใหญ่กว่ามากจะแทรกผ่านเข้ามา เขาสะดุ้งเฮือกจนต้องจิกเล็บ ตัวเกร็งไปหมดจนสั่น ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับร่างกำลังโดนฉีกขาด ยิ่งคนตัวใหญ่พยายามฝืนเข้ามา มันก็ยิ่งเจ็บจนเขาต้องก้มหน้าลงซบไหล่หนา กัดปากแน่นจนห้อเลือด น้ำตาไหลพรั่งพรู

“ดะ…เดี๋ยว ผมเจ็บ ได้โปรด อย่าเพิ่ง ผมเจ็บ กัปตัน”

“…” สตีฟไม่ได้ตอบอะไรกลับมาและพยายามดันเข้ามาอีก “แต่ผมเจ็บยิ่งกว่าตอนรู้ว่าคุณส่งเครื่องมือทรมานทั้งหมดมาเพื่อบังคับให้ผมยอมรับข้อกล่าวหาที่ผมไม่ได้ทำ ผมเจ็บยิ่งกว่าที่เห็นคุณทำร้ายผมทั้งที่ผมเชื่อใจว่าคุณคือคนที่เข้าใจผมที่สุด”

‘I’m sorry Tony. I wouldn’t do this if I have any other choice’

โทนี่นึกถึงประโยคที่สตีฟบอกกับเขาขึ้นได้ เขามองใบหน้าคมที่ฉายแววเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก คนตัวสูงส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเจอ เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากอีกฝ่ายที่แผ่ซ่านออกมา

แต่สตีฟเข้าใจผิด เขาไม่ได้เป็นคนสั่งหรือทำอุปกรณ์พวกนั้นรวมถึงที่คุมขังนี่ขึ้นมา

สตีฟสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนกดสะโพกเขาลงอีกแต่เขาก็ฝืนเอาไว้ เงยหน้าขึ้นหวีดร้องสุดเสียงแล้วก้มลงซบไหล่ พูดไม่เป็นศัพท์เพื่อขอร้องอีกฝ่าย

“อ้ากกกกกก!!! ผมเจ็บ ได้โปรด…แคป ขอผมตั้ง ตัว…สักพัก ได้มั๊ย…ฮึก ผมเจ็บจริงๆ”

“ทีตอนผมขอร้อง ไม่เห็นจะมีใครฟัง ตอนผมอ้อนวอน คุณไปอยู่ที่ไหนเหรอ โทนี่ของผม”

“อั้ก…ผมเจ็บ ขอร้อง ผมขอร้องแคป ได้โปรด แคป” เขาก้มหน้าลงซบใบหน้าเปื้อนน้ำตากับบ่ากว้าง หลับตาแน่นเมื่อสตีฟพยายามดันแก่นกายตัวเองเข้ามาจนความเจ็บพุ่งมาปะทะทุกที่ตามร่างกาย “แคป…ผมขอร้อง ได้โปรด ได้โปรด…ผมเจ็บจริงๆ แคปฮึก ขอร้อง”

โทนี่อ้อนวอน สตีฟหยุดให้ตามคำขอ เขาหายใจหอบ มือสองข้างที่จิกจนเล็บฝังกับเนื้อนั้นเลือดไหล มือหนาเอื้อมขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของเขาราวกับจะปลอบประโลม แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น สตีฟก็แค่อยากจะผ่านด่านนี้ให้เร็วที่สุด เพราะเจ้าสิ่งที่จ่อคาอยู่ในตัวเขามันกำลังขยายขึ้นทุกครั้งที่เขารัดหรือขยับเขยื้อน สักพักใหญ่ความเจ็บก็ทุเลาลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อเริ่มชิน แต่ในตอนนั้นเองสตีฟก็ดันแก่นกายตัวเองเข้ามาจนสุด เขาหวีดร้องลั่น

“อ้าก!!!! ไม่ แคป เอาออกไปก่อน แคป… แคป” เขาอ้อนวอนเสียงแหบพร่า ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาเมื่อช่องทางด้านหลังโดนฉีกขาด แต่คนตัวสูงไม่ฟัง หนำซ้ำยังขยับสะโพกเขาขึ้นลงอีกด้วย “แคป…ผมเจ็บ”

“คุณจะได้รู้ไงว่าสิ่งที่คุณทำกับผมมันก็เจ็บไม่ต่างกันเลย”

“อื้อ…ผมเจ็บ จริงๆ แคป ผมขอร้อง ขอผมตั้งตัวก่อนได้มั๊ย”

เขาพูดไปก็ครางเสียงต่ำไปเพื่อหวังว่ามันจะช่วยคลายจากความเจ็บปวดได้บ้าง สตีฟขยับเข้าออกช้าๆ พร้อมใช้มือข้างหนึ่งกระชากผมเขาให้แหงนมองหน้าตัวเอง แววตาเศร้าในแบบที่เขาไม่เข้าใจฉายชัดในดวงตาคมกริบ นัยน์ตาสีฟ้าเคลือบไปด้วยความหม่นหมองจากความผิดหวัง สีหน้าที่เคยอ่อนโยนเสมอแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยที่แฝงไว้ด้วยความปวดร้าวอยู่ภายใน

“ผมเจ็บมากแค่ไหนคุณเคยรู้มั๊ย ตอนที่ผมโดนส่งมาที่นี่ ผมต้องเจออะไรบ้างคุณเคยรู้มั๊ย”

“อึ้ก อื้อ อ๊าาาแคป…ตรงนั้น” เขาเองก็อยากจะตอบคำถามอีกฝ่าย แต่สตีฟกลับจี้จุดภายในตัวเขา ความเจ็บกระเจิงไปทันที เหลือไว้แต่ความเสียวซ่านที่ชวนให้รู้สึกดี คนตัวใหญ่กระแทกกระทั้นตรงจุดเดิมอีกครั้ง สติของเขาเหลือไว้แค่ความต้องการ “อ๊า! อื้อ นั่นแหละ เร็วอีก”

จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร สตีฟเร่งจังหวะเร็วขึ้น เขาก้มเอาหน้าผากชนหน้าผากอีกฝ่าย เผยอปากครางไม่หยุดจนน้ำลายหยดลงเปรอะไปหมด สลิงโดนดันขึ้นสูงจนแทบหลุดในอีกไม่นาน เขาเร่งจังหวะและตอบสนองอีกฝ่ายเพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้โดนจับได้ แต่ก็อีกเช่นเคย มัดโดนดันกลับเข้าไปอีกครั้ง

“อ๊า!! ฮึก แคป ได้โปรด ฉันอ๊ะ เจ็บ ทำแบบนี้ อ๊ะ…ฮึก มันเจ็บ อึ้ก อะ อะ อ้าาา…เจ็บ แคป”

“ความเจ็บปวดที่ผมได้รับมันยังไม่ถึงครึ่งที่คุณได้รับด้วยซ้ำ ไม่ถึงครึ่งกับที่ผมเจอมาตลอด”

เมื่อเห็นเขาทรมานมากเท่าไหร่สตีฟก็ยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นมากเท่านั้น เขาน้ำตาไหลพราก ครางผสมร้องขอความเห็นใจแต่ไม่ได้ผล สะบัดหน้าและตัวไปมาตามแรงอารมณ์ที่ปลุกปั่นอยู่ภายใน คนตัวใหญ่เอื้อมมือมาแกะเชือกที่รัดตัวและที่รัดข้อมือเขาออก เขารีบใช้สองมือขยุ้มเรือนผมสีทองไว้แน่นเมื่อเสียวสะท้านจนร้องไม่เป็นภาษา แอ่นตัวขึ้นสูงแล้วสวนสะโพกกลับลงไปลึกๆ เพื่อรับแรงกระแทกให้มากกว่าเดิม ในหัวขาวโพลนและอยากจะปลดปล่อยเต็มที แต่ก็ทำได้แค่นั้นเมื่อโดนกดปลายแก่นกายเอาไว้ จนในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลงเมื่อคนตัวใหญ่กระแทกกระทั้นจุดกระสันของเขาไม่หยุด

“คะอ๊า แคป มันเสียว อื้อออ พอก่อน อ๊าไม่ พอแล้วอ๊ะ มันทรมาน แคป…ได้โปรด”

“อ่าห์…อื้อ เป็นเด็กดีสิ โทนี่”

“อ๊าาา ตรงนั้น พอ…ไม่เอาแล้ว เสียว อ๊ะ…แคป นี่…อื้มมม อ่าาห์ สตีฟ สตีฟได้โปรด หยุด หยุดก่อน หยุดที …สตีฟ”

เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแห้ง คนตัวใหญ่ชะงักไปชั่วครู่ จังหวะเปลี่ยนไปเป็นช้าลงเล็กน้อย เขากระชับโอบรอบคออีกคนแน่น สะอื้นไห้อยู่ข้างใบหูสตีฟเมื่อทนรับเรื่องทั้งหมดไม่ไหวอีกต่อไป

“ขอร้องล่ะ ให้ฉันปลดปล่อยเถอะนะ มันทรมานมากจริงๆ ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ” เขาสะอื้น ซบหน้าลงกับขมับอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างเสียใจและเจ็บปวดไม่ต่างจากอีกคนเลย “ไม่รักกันแล้วเหรอ สตีฟ”

“…”

“ไม่รักฉันแล้วงั้นเหรอ สตีฟ”

“…” สตีฟเงียบหายไปนาน มือหนาโอบกอดเขาไว้แผ่วเบาแล้วกระซิบตอบกลับมา “มันจบแล้ว”

“?”

“มันจบลงตั้งแต่วันที่บั้คกี้กลับมา ทุกอย่างระหว่างเรามันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบทั้งนั้น ผมอาจจะเคยรักคุณนั่นก็เพราะผมไม่เหลือใครจริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ตรงกันข้าม ผมเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายทั้งเป็นด้วยซ้ำ”

“…เพราะงั้นก็เลยพาฉันมาทรมานแบบนี้ ใช่มั๊ย…สตีฟ”

“คุณนี่ฉลาดจริงๆ ถูกต้องตามนั้นเลยครับ คุณสตาร์ค”

หัวใจของโทนี่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนจับลงให้นอนบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสลิงโดนดึงออกไปไหน ร่างที่ตอบสนองกลับไปมันก็แค่ตามอารมณ์ของมนุษย์ที่ถูกปลุกปั่นขึ้นมา ทว่าภายในใจมันหนักอึ้งและหวีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับคนบ้า ในที่สุดสตีฟก็ปลดปล่อยเข้ามาในตัวเขาพร้อมกันกับที่เขาปลดปล่อยออกไปทั้งหมด แล้วจากนั้นทุกอย่างก็จบ เขานอนหมดสภาพอยู่บนพื้น ดวงตายังคงเบิกกว้างกับคำพูดของอีกคนที่หลอกหลอนอยู่ในหัว ผมปรกหน้าจนมองอะไรไม่ชัดนัก เห็นก็แต่เพียงคนตัวสูงที่กลับไปใส่ชุดนักโทษตามเดิมและมานั่งยองอยู่ตรงหน้า เขาเห็นแต่เพียงรอยยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น

“อ้อ ผมลืมบอกอะไรคุณไปอย่างหนึ่งครับ คุณสตาร์ค”

“…”

“ห้องนี้ติดกล้องถ่ายทอดสดอยู่เพื่อไว้ประจาณผม แต่ในวันนี้ดูเหมือนมันจะได้คนประจาณคนใหม่แล้ว โทนี่…เรื่องที่เกิดขึ้นคงมีคนรู้เห็นและรับรู้กันทั่วประเทศแล้ว ไอ้ผมน่ะมันไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปเพราะโดนมองว่าเป็นตัวอันตราย โดนประจาณอยู่ทุกวัน แต่คุณนี่สิ ฮีโร่ของปวงชน โทนี่ สตาร์คที่มีคนนับหน้าถือตา คงจะอยู่ยากหน่อยนะครับถ้าเกิดว่าคิดจะหนีกลับไปในโลกฝั่งนั้น คุณนายเอก AV ของผม”

“!!!”

สตีฟลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องขัง โทนี่ไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะหาทางหนีออกไปหรือเปล่า แต่สำหรับเขามันไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว อย่าว่าแต่ที่ให้หนีเลย แม้แต่จะกลับไปอยู่ที่เดิมก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการยอมรับเหมือนเคยหรือเปล่า แถมตอนนี้ความรู้สึกที่มีก็โดนอีกฝ่ายย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี หัวใจของเขาที่มอบให้อีกฝ่ายก็โดนทำลายจนย่อยยับ เขาหมดแล้วทุกสิ่ง ไม่เหลืออะไรเลย

โทนี่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งทั้งที่เจ็บสะโพกเจียนขาดใจ น้ำรักของสตีฟไหลลงมาตามท่อนขา เขาพยามยันตัวเองให้ลุกยืนแต่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น ขามันสั่นและอ่อนแรง เขากำหมัดกัดฟันแน่น ก้มหน้าลงชิดอก ฝืนกลืนก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตาลงไปเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าตอนนี้เขากำลังอ่อนแอ โทนี่พยายามลุกอีกครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม สุดท้ายเลยต้องคลานไปเก็บเสื้อผ้าตัวเองที่โดนโยนทิ้งมาใส่กลับเหมือนเดิม จากนั้นก็คลานออกไปจากห้องขัง มองหาห้องน้ำเพื่อชำระเอาคราบสกปรกออกไป ในที่สุดเขาก็เจอ

โทนี่คลานเข้าไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกไปกองมุมหนึ่ง เอื้อมมือไปเปิดฝักบัว แต่เพียงแค่น้ำไหลลงกระทบร่าง ความแสบและเจ็บก็แล่นเข้ามาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขากัดมือตัวเองเพื่อกันเสียงร้อง ฝืนอาบน้ำทั้งที่มือสั่นเพราะเจ็บ และพอยิ่งเจ็บเขาก็ยิ่งกัดมือตัวเองจนเลือดไหลออกมา ม่านน้ำตาเข้าเคลือบดวงตาจนทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดนัก

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หัวใจที่เขามอบให้อีกฝ่ายมาตลอดมันไม่ได้โดนรับไปจริงๆ สตีฟไม่เคยมองเขาตั้งแต่แรก ไม่ได้รักเขามาตั้งแต่แรก แต่เขากลับหลงเชื่อทุกคำของอีกฝ่ายอย่างกับคนโง่ ไม่เอะใจ ไม่เผื่อใจ ซ้ำยังไว้ใจและเชื่อใจจนยอมทุกอย่าง ทว่าทุกอย่างกลับจบลงแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

 

You’re the cure

You’re the only thing I wanna touch

So love me like you do, touch me like you do

ดังนั้นเธอช่วยรักฉันอย่างที่เคยรัก สัมผัสฉันอย่างที่เคยทำ

 

สตีฟกลับเข้ามาในห้องขังของตัวเอง เขามองคนตัวเล็กที่นอนขดตัวอยู่มุมห้องก่อนเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นว่าโทนี่หลับแล้วก็นั่งลงข้างๆ มองใบหน้าซึ่งเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาอย่างสะเทือนใจ คำถามที่ว่า ไม่รักฉันแล้วงั้นเหรอ สตีฟ ยังดังอยู่ในหู เสียงร้องไห้และอ้อนวอนยังก้องอยู่ในโสตประสาท มันเริ่มทำให้เขาสับสนว่าควรทำยังไงต่อไปดี หัวใจที่โดนทำให้เจ็บช้ำเริ่มกลับมาหวั่นไหวอีกครั้งเพียงแค่เห็นอีกฝ่ายทรมานเจียนตาย เขากำหมัดแน่น หันหน้าหนีไปทางอื่น สูดลมหายใจเข้าลึกและทบทวนความเจ็บปวดที่ได้รับมาทั้งหมดจากอุปกรณ์ของสตาร์คอินดรัสทรี่

สตีฟลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลุกไปหยิบกล่องยามานั่งลงข้างโทนี่เช่นเคย จากนั้นก็ทำแผลตามเนื้อตัวอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนโดนโถมเข้ากอดเข้าที่เอวเต็มแรง ใบหน้าหนวดซุกลงกับหน้าท้อง น้ำเสียงสั่นเครือดังอู้อี้

“สตีฟ อย่าทำผมเลย ผมเจ็บ…ได้โปรด อย่าทำผมเลย อย่าทำผม อย่าทำผม…”

สตีฟไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น นั่งมองคนตัวเล็กที่กระชับกอดไม่หยุดจนเขาแทบทรงตัวไม่อยู่ พยายามดันตัวโทนี่ออก ทว่า…

“แต่ผมรักคุณนะ สตีฟ” สตีฟดวงตาเบิกกว้าง ชะงักทันที ก้มลงมองอีกฝ่ายที่พึมพำแต่ประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ผมรักคุณ สตีฟ”

แต่ทุกอย่างมันจบแล้ว โทนี่ จบตั้งแต่วันที่คุณเลือกจะเป็นศัตรูกับผมแล้ว ลืมผมซะเถอะนะ โทนี่

สตีฟคิดในใจ แกะมืออีกฝ่ายออกและลุกเอากล่องยาไปเก็บที่เดิม จากนั้นก็เดินไปนอนคนละฝั่งกับคนตัวเล็ก พยายามข่มตาให้หลับ ตั้งมั่วไว้ว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดบ้าๆ บอๆ ของอีกคนเป็นอันขาด

 

โทนี่โดนสตีฟลงโทษในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเซ็กส์ ทำร้ายร่างกาย เล่นสนุกกับเขาราวกับเขาเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง เขาทำได้แค่ทนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยายามขัดขืนแต่ผลที่ได้ก็คือโดนทำโทษอย่างแสนสาหัส ถ้าไม่โดนจับหัวโขกกับผนังห้องก็จะโดนจับลากไปนั่งตากฝักบัวจนหนาวสะท้าน ความเจ็บที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาเลือกที่จะชินกับมัน ยอมรับมัน และอยู่เฉยปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ใจอยากทำ เขาพอแล้ว เหนื่อยแล้ว

อยากตาย…

คืนนี้สตีฟหลับเร็วกว่าปกติ อาจจะเพราะเราเพิ่งมีอะไรกันไปเมื่อครู่ก็เป็นได้ โทนี่คลานไปหยิบปืนสั้นจากใต้โต๊ะวางถาดอาหารออกมามอง สายตานิ่งเฉยราวกับร่างไร้วิญญาณ มือเล็กอันสั่นเทายกมันขึ้นจ่อขมับ หลับตาลงแน่น จากนั้นก็ลั่นไกซะ

ปั้ง!

สตีฟสะดุ้งตื่น เขาผุดลุกจากเตียงไปเปิดไฟ เมื่อความสว่างฉายภาพให้เห็นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอย่างตกใจ ถลาเข้าไปดูโทนี่ที่นอนตายตาไม่หลับ เลือดไหลออกจากรูข้างขมับ สตีฟพูดแทบไม่ออก เขายกมือขึ้นกุมแก้มอีกฝ่ายเอาไว้เบาๆ เมื่อไม่อาจแก้ไขอะไรได้ เขาเลื่อนมือข้างเดียวกันไปปิดตาอีกฝ่ายก่อนซบหน้าผากมน กระชับกอดร่างเล็กเอาไว้แน่น

 

 

 

 

 

 

It wasn’t worth it

 

 

 

09/12/2015

ฟิคฉลองที่เพจครบ 200 ไลค์ค่ะ กว่าจะเข็นตอนนี้ออกมาได้ต้องใช้พลังงานอย่างมาก #นอนแช่ ทำเกมจากเรื่องอเวนเจอร์สโฮสต์คลับไม่ทันจริงๆ ก็เลยไม่ได้ให้ลงเล่นกัน TwT ขอโทษนะคะ รบกวนเม้นท์หน่อยนะ YwY

ฝากติดตามฟิคเรื่องอื่นๆ ด้วยน้าา มีอะไรอยากพูดคุยตามมาได้ที่

Page: SaRa_PAO

TW: @GWAYESUNG

แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่ะ xD

ตอนพิเศษของ It wasn’t worth it

Steve x Tony: In my dream

ทำไม…

มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง….

เกิดอะไรขึ้น… มันเกิดอะไรขึ้น!

โทนี่ยืนมองภาพเพื่อนร่วมทีม Avengers ที่นอนตายกันอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่เข้าใจ เขาก้าวขาเดินไปหาพวกพ้องอย่างโรยแรงและไร้วิญญาณ มองบรูซ ธอร์ และนาตาชาที่จากเขาไปแล้ว คลิ้นท์เองก็เช่นกัน เขาเลื่อนสายตามามองสตีฟที่นอนอยู่ตรงหน้า แล้วเหมือนทั้งร่างก็ทรุดลงในฉับพลัน ยกสองมือตัวเองขึ้นดู ตอนแรกมันว่างเปล่าแต่ในเวลาต่อมากลับมีเลือดเปรอะเต็มไปหมด ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ ลมหายใจติดขัด ร่างกายสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น น้ำตาไหลในเวลาต่อมา

หมับ!

ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแล้วมองมือของคนตรงหน้าที่คว้าข้อมือของเขา ดวงตาคมปรือมองอย่างอ่อนแรง ลมหายใจอันน้อยนิดสั่นไหวพร้อมถูกยมทูตช่วงชิงตลอดเวลา โทนี่เอื้อมมือไปแตะชีพจรของกัปตันอเมริกาตรงใต้คอทันที แววตามีความหวังถึงแม้จะดูริบหรี่ก็ตาม

สตีฟเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา ริมฝีปากหยักอ้าขึ้นเพื่อเปล่งเสียงแต่มันกลับไม่ออกมา คนตัวใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกช้าๆ อย่างทรมาน พยายามจะพูดบางอย่างออกมาให้ได้แต่กลับสิ้นใจไปเสียก่อน มือใหญ่ตกลงไปอยู่ข้างตัว ดวงตาคมปิดเข้าหากัน โทนี่อึ้งเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้

“นายต้องไม่ตาย นาย…นายต้องไม่ตาย สตีฟ นายต้องไม่ตาย!”

เขาเขย่าตัวสตีฟไปมาแรงๆ แต่ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้ ดวงตากลมโตมีน้ำมากมายไหลลงมาอีกครั้ง เสียงสะอื้นปนไปกับคำขอร้องที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เขายกมือของสตีฟขึ้นกุมแก้มและมองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ซบลงกับแผงอกแกร่งและร้องไห้ออกมาเสียงดัง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเงยหน้าขึ้นหวีดร้องสุดเสียงอย่างทรมาน

 

เฮือก!

โทนี่สะดุ้งลืมตาเมื่อตัวเองตกลงมานอนอยู่บนพื้น ภาพความฝันเมื่อครู่ยังลอยวนเวียนอยู่ในหัว มือเย็นเฉียบของคนตัวใหญ่ที่สัมผัสได้ยังชัดเจนอยู่บนฝ่ามือ เขาค่อยๆ ยกสองมือนั้นขึ้นมองด้วยดวงตาสั่นระริกเพราะหวาดกลัวเกินกว่าจะบรรยายออกมา กลัวว่าจะเห็นเลือดของเพื่อนๆ ชะโลมอยู่บนนี้ กลัวว่าจะต้องสัมผัสกับร่างไร้วิญญาณของเพื่อนร่วมทีมที่เป็นคู่กัดกันมาตลอด

เมื่อค่อยๆ ตั้งสติได้เขาก็ซบหน้าลงกับมือทั้งสองข้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาตอนไหน เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพราะกลัวจะมีคนได้ยิน

โทนี่แทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ในโลกความจริงหรือโลกความฝันกันแน่ ภาพทุกอย่างมันดูคล้ายกันไปเสียหมด เขากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลงอีกครั้ง

“ฝันร้ายเหรอ สตาร์ค”

“…”

เสียงทุ้มของเพื่อนร่วมห้องดังขึ้น เขาแทบลืมไปเลยว่าตอนนี้ต้องแชร์ห้องในบ้านของบาร์ตันกับสตีฟ แล้วพวกเขาก็ลี้ภัยมาอยู่บ้านป่าเพื่อคิดแผนการรับมือกับอัลตรอน

เขาไม่ได้หันกลับไปมองสตีฟ เอาแต่นอนมองมือตัวเองท่ามกลางห้องที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องผ่าน เสียงขยับตัวบนเตียงดังเบาๆ พร้อมกับเสียงเลิกผ้าห่ม

“คุณนอนดิ้นไปมาจนผมแทบตกเตียง”

“โทษที” โทนี่ตอบน้ำเสียงแหบพร่า ภาพของอีกฝ่ายที่นอนตายอยู่ตรงหน้ายังตามหลอกหลอนไม่เลิก “กี่โมงแล้ว”

“ประมาณตีสองได้”

“นายนอนต่อเถอะ”

“แล้วคุณล่ะ”

โทนี่เงียบเมื่อเสียงของสตีฟจบลง เขาขยับตัวขึ้นนั่งหันหลังให้อีกฝ่าย ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าออกแล้วฝืนหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทีม พร้อมยักไหล่และไม่ตอบอะไรต่อ

“ฝันว่าอะไรเหรอครับ” สตีฟถามน้ำเสียงธรรมดา แต่ในความรู้สึกของเขามันกลับอบอุ่นพิกล “บอกหน่อยได้มั๊ยครับ”

“…ไม่มีอะไร”

โทนี่ยิ้มให้กับสองฝ่ามือของตัวเองแล้วต้องสะดุ้งเมื่อมีสองมือบีบไหล่อยู่ เขาหันหน้ากลับไปก็เห็นสตีฟกำลังมองเขาด้วยสีหน้าอ่านยาก มองไม่ออกเลยว่าคนๆ นี้กำลังคิดอะไรอยู่กัน สีหน้าแบบทหารที่เคร่งต่อทุกอย่างแบบที่เขาไม่เคยชอบแต่ในเวลานี้กลับตรงกันข้าม

มันอบอุ่นจริงๆ

“ตัวคุณเกร็งไปหมด ผมเลยคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณฝันร้าย ผ่อนคลายลงเสียหน่อยแล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

“อืม”

โทนี่ตอบเสียงเบา สตีฟผละออกไปล้มตัวนอนหันหลังให้ เขาค่อยๆ พยุงตัวขึ้นนั่งบนเตียงแล้วมองคนตัวใหญ่นิ่งๆ

“จะมองแบบนั้นอยู่อีกนานมั๊ย ผมอึดอัดนะ”

“เอ่อ โทษที” โทนี่ตอบแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่ายเช่นกัน “นอนต่อกันเถอะ”

“เฮ้” สตีฟเรียกแล้วดึงให้เขาหันไปหา สายตาที่ส่งมามีแต่ความห่วงใย “คุณดูแปลกไปนะ”

“ตรงไหนไม่ทราบ”

“ฝันร้ายขนาดไหนกันถึงทำให้คนอวดเก่งแบบโทนี่ สตาร์คซึมเป็นลูกแมวโดนทิ้งได้”

“พูดแบบนี้คิดจะหาเรื่องกันเหรอไง”

“เปล่า แค่สงสัยเฉยๆ เท่านั้นเอง”

โทนี่เงียบแล้วมองสตีฟ คนตัวใหญ่สวมกอดเขาทำเอาสะดุ้งจนตื่นเต็มตากว่าเดิม เขาพยายามดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่งเพื่อให้หลุด แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่สำเร็จ มีแต่จะโดนกระชับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย

“ฝันถึงสิ่งที่แวนด้าทำให้คุณเห็นใช่มั๊ย”

“…” โทนี่เงียบไปประมาณหนึ่งนาทีได้แล้วถึงตอบ “เปล่า”

“โกหกไม่เนียนเลยครับ”

“เปล่าไง” โทนี่ขึ้นเสียง แต่พอเห็นสายตาอ่อนโยนจากคนตรงหน้าก็ยอมพูดความจริง “ประมาณนั้น”

“ ’ประมาณนั้น’ เรื่องอะไร”

“ฉันฝันเห็นสิ่งที่แวนด้าทำให้เห็นแบบที่นายพูดนั่นแหละ”

พอเขาตอบคำถาม สตีฟก็ยิ่งกอดเขาแน่นกว่าเดิมจนหน้าของเขาซบกับอกอีกฝ่าย ความร้อนของตัวอีกคนแผ่ออกมาแต่ไม่รู้ทำไมมันไม่อึดอัดเลยสักนิด

“มันก็แค่…”

“ในฝันของฉัน… ฉันเห็นเพื่อนๆ ตาย ส่วนนายเองก็…”

โทนี่ไม่กล้าพูดต่อเมื่อเห็นภาพสตีฟที่หมดลมหายใจไปต่อหน้าฉายซ้ำ ความกลัวแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจอีกครั้ง กลัวจนปากสั่นพูดต่อไม่ออก

“ผมก็ตายด้วยเหรอ คุณฝันได้ใจร้ายมากเลยรู้มั๊ย”

“นาย…รอด แต่สุดท้ายก็ตายเช่นกัน”

“นี่ยิ่งโหดร้ายเข้าไปใหญ่ จิตใต้สำนึกของคุณนี่มันยังไงกัน”

“ฮ่ะๆ”

“พวกเราจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น พวกเราจะผ่านมันไปได้”

โทนี่เงยหน้ามองสตีฟ ดวงตาสีฟ้าสบมองเขาอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ความอบอุ่นของมันไม่เปลี่ยนแปลงเลย ทำให้กำลังใจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าคม มือใหญ่เกลี่ยผมแล้วลูบแก้มของเขาแผ่วเบา

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน จะไม่มีใครต้องเป็นอะไรทั้งนั้น”

“…ยังไง” โทนี่ถามเพื่อขอความมั่นใจ น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มหน่วย “เราจะผ่านมันไปยังไง”

“Together”

โทนี่มองสตีฟ สตีฟเองก็มองเขา แล้วจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย เขาค่อยๆ หลับตาลงแล้วยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ คำพูดของสตีฟยังดังก้องอยู่ทุกโสตประสาท อ้อมแขนแกร่งที่โอบกอดเขาไว้มันเข้มแข็งเหมือนเรื่องร้ายๆ จะไม่สามารถผ่านเข้ามาได้

 

เขาเชื่อใจสตีฟ

 

แต่ในขณะเดียวกัน

เขากลับไม่เชื่อใจตัวเอง

 

โทนี่ลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้า สตีฟหลับไปแล้ว ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่บนหัว เขาไม่รู้ว่าในอนาคตเขาจะทำให้คนตัวใหญ่ต้องเจออะไรบ้าง เขาทนไม่ได้ถ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตาย ทนไม่ได้จริงๆ…

“นายต้องไม่เป็นอะไรนะ” โทนี่พูดออกมาเบาๆ แล้วสวมกอดอีกฝ่ายแน่น ซบหน้าลงกับแผงอกกว้าง “นายต้องกลับมา”

“…”

“ขอร้องล่ะ” โทนี่กลืนเสียงสะอื้นลงคอแล้วพูดย้ำอีกครั้ง “นายต้องรอดกลับมาหาฉันนะ สตีฟ”

“…ผมสัญญา”

 

Although I hope I don’t dream again, I still dream.

 

THE END

07/09/2015

อยากแต่งฉากที่โทนี่โดนแวนด้าสะกดจิตมานานมากแต่หาพล็อตลงไม่ได้ จนกระทั่งวันนี้…ดีใจน้ำตาจิไหล YvY

คงไม่เศร้ามากเนอะ หวังว่าจะชอบกันนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจดีๆ ค่า xD

[AU]Steve x Tony: First Snow 2

Title :: First Snow 2

Author :: SaRa_PAO

Pairing:: Steve x Tony

Rating :: PG

Note :: โทนี่และสตีฟในเรื่องนี้จะไม่ใช่โทนี่และสตีฟแบบที่เราเคยอ่านเคยรู้จักกันมาก่อนแน่นอน ด้วยความที่เป็นAUและความอยากลองเปลี่ยนบุคคลิกของทั้งคู่ของไรท์เตอร์เอง – มาต่อแล้วว ขอบคุณนะคะทุกคน (._.)

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

สตีฟแบบว่า…อึ้งไปเลย

เขายืนอ้าปากค้างเมื่อพาเจ้าคนบนหลังมาส่งที่บ้าน ไม่สิ จริงๆ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์ ถึงจะถูก สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าเขาใหญ่โตมโหฬารเกือบเท่าโรงเรียนฮอกวอตส์ จริงๆ…มันเป็นแบบเดียวกับโรงเรียนฮอกวอตส์เลยต่างหาก มีสวนสวยอยู่ขนาบข้าง ตรงทางเดินเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ปูด้วยหินและกรวดอัดกันจนแน่น แถมตรงกลางทางเดินยังมีสวนรูปวงกลมซึ่งปูหญ้าอย่างดีเอาไว้ ส่วนรั้วก็เป็นราวเหล็กสีทองดูหรูหรา

รวยขนาดนี้ยังจะหวงกระเป๋าเงินอีก สตีฟคิดแล้วเหล่มองคนตัวเล็กซึ่งหลับอยู่บนหลัง

“มีอะไรให้ผมช่วยมั๊ยครับ” เสียงหนึ่งดังขัด คนตัวใหญ่สะดุ้งหันมองทางซ้ายของตน ก่อนเห็นชายในชุทสูทผูกหูกระต่ายแบบพวกพ่อบ้านในหนังยืนมองเขาอยู่ ผมสีทองค่อนไปทางเหลือง ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาสีเข้มว่างเปล่า ร่างกายสูงโปร่ง “นั่นใช่คุณหนูโทนี่หรือเปล่าครับ”

“เอ่อ ใช่ครับ พอดีเกิดเรื่องที่โรงเรียนนิดหน่อย แล้วเขาไข้ขึ้นสูง ผมเลยอาสาพามาส่งบ้าน”

ชายพ่อบ้านตกใจแต่เก็บมันไว้ภายใต้สีหน้านิ่งเฉย จากนั้นก็เดินไปคุยกับยามในป้อมซึ่งอยู่หลังประตูรั้ว ไม่นานก็เดินกลับมาหาเขา “เชิญเข้ามาก่อนครับ”

ประตูรั้วเปิดออกกว้างก่อนสตีฟจะเดินเข้าไป ชายพ่อบ้านรีบเดินมาจับโทนี่ให้ลงจากหลังของเขา สีหน้าทุกข์ใจฉายออกมาชั่วครู่ก่อนหายไป แล้วช้อนเพื่อนร่วมโต๊ะเขาขึ้นแนบอกและเดินดิ่งเข้าบ้าน สตีฟเดินตามแต่พอจะก้าวข้ามธรณีประตู ชายพ่อบ้านคนเดิมก็มายืนขวางเขาไว้

“ขอบคุณที่มาส่งคุณหนูนะครับ ตอนนี้คุณหนูอยู่ในมือของคุณหมอประจำตระกูลแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“เอ่อ ครับ” สตีฟพยักหน้ารับงงๆ รู้สึกเหมือนกำลังโดนไล่ยังไงไม่รู้ เขามองดวงตาสีเข้มซึ่งกำลังฉายแววรำคาญเขาอยู่ในที ดังนั้นเขาจึงยอมบอกลา “งั้นผมไปนะครับ” ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

 

วันรุ่งขึ้นสตีฟมาดักรอโทนี่อยู่หน้าประตูโรงเรียน เขายกนาฬิกาขึ้นดู แล้วพบว่ามันใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองทางถนนหน้าโรงเรียนอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของโทนี่เสียที

แปลกใจตัวเองอยู่ว่าทำไมต้องมารอเจ้านั่นด้วย …แต่ก็ช่างมันเถอะ

ไม่นานสตีฟก็เห็นรถลีมูซีนคันงามมาจอดหน้าโรงเรียน ประตูรถเปิดออกก่อนร่างของเพื่อนร่วมโต๊ะเขาจะเดินลงมา หมอนี่สวมเสื้อกันหนาวแบบหนาทับเสื้อโค้ทซึ่งทับชุดนักเรียนอีกที บนลำคอมีผ้าพันคอสีเหลืองทองสลับสีดำแบบ…บ้านกริฟฟินดอร์ สตีฟพูดอะไรไม่ออก

เป็นติ่งแฮร์รี่ พอตเตอร์หรือไง…

ก่อนพ่อบ้านคนเดิมจะเดินอ้อมจากอีกฝั่งของรถมาหาโทนี่ หยิบเอาหน้ากากอนามัยขึ้นสวมให้คนตัวเล็ก แล้วจัดเสื้อผ้าของคุณหนูตนให้เข้าที่ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายใบใหม่มาถือเอง โทนี่กำลังเดินก้มหน้าก้าตามาทางเขา สตีฟเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสดใส

“เฮ้ อาการดีขึ้นแล้วเหรอ”

โทนี่หยุดแล้วเงยหน้ามองเขาก่อนจะตอบ “อื้ม” แววตาหมอนี่ดูอ่อนแรงชอบกล “ก็ดีขึ้น แค่กๆ”

“นี่เหรอดีขึ้น” สตีฟว่าพลางหรี่ตามอง เขายื่นหน้าไปดูคนตัวเล็กใกล้ๆ ซึ่งทั้งตัวมองเห็นแค่ตาคู่เดียวผ่านแว่นหนาเตอะ “ถ้าฉันป่วยแบบนายนะ ฉันนอนอยู่บ้านให้สบายใจไปแล้ว”

“อื้ม” โทนี่ตอบสั้นๆ แล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าไปในโรงเรียน

สตีฟยักไหล่เมื่อเห็นอีกคนดูซึมแปลกๆ อาจจะเพราะพิษไข้มั้ง เขาเดินตามโทนี่เข้าไปบ้างโดยมีคุณพ่อบ้านหน้าขรึมตามมาเดินข้างๆ เขาเหลือบมองก่อนได้รับสายตาอำมหิตกลับมา สตีฟสะดุ้งเฮือก เสียวสันหลังวูบ ขนลุกชันไปทั้งตัว อะไรกันวะเนี่ย

“เฮ้ยๆ ดูไอ้เด็กเนิร์ดดิ วันนี้แต่งตัวอย่างกับเด็กประถมงั้นแหละ ฮ่าๆๆ”

“ไม่ตอบโต้เหรอ” สตีฟหันไปถามโทนี่หลังพวกเขาเข้ามาในห้องเรียน แล้วเพื่อนในห้องต่างพากันแขวะคนตัวเล็ก “ทีฉันเห็นด่าเอาๆ”

“สตีฟ นายไปอยู่กับไอ้หมอนี่มากๆ ระวังติดโรคเชยกับโรคเนิร์ดแด๊กนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

สตีฟยักไหล่แล้วยิ้มขำ มองเพื่อนๆ ในห้องที่ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า แท้จริงแล้วคนที่พวกมันกำลังแซวอยู่มีอิทธิพลมากแค่ไหน เพื่อนในห้องยังพากันหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนานและทำท่าล้อเลียนโทนี่ไม่หยุด เขาเลื่อนสายตาไปมองคนตัวเล็กซึ่งนั่งนิ่งแต่กลับกำมือแน่นจนแขนข้างนั้นสั่น

นายไม่ใช่คนโดนกระทำหนิ นายจะไปรู้ได้ยังไงว่าคนโดนกระทำเขารู้สึกยังไง การเป็นตัวตลกให้คนอื่นเหยียบย่ำความรู้สึกน่ะ มันไม่เคยตลกเลยนะ!

อยู่ๆ คำพูดของโทนี่ก็ดังขึ้นมาในหัว เขายังคงมองคนตัวเล็กที่พยายามอดกลั้นอารมณ์อยู่ เขาอยากรู้ว่าเจ้านี่จะแก้ปัญหาตรงหน้ายังไง จะลุกขึ้นมากระโดดถีบหน้าไอ้พวกที่คอยล้อเรียงตัว หรือจะวิ่งออกจากห้องแล้วไปแอบสาปแช่งให้สอบตกกันยกแผง ถ้าเป็นแบบที่เขาคิดคงขำน่าดูเลยเนอะ

ปั้ง!

สตีฟสะดุ้ง ความคิดเมื่อครู่กระเจิงหายไปหมด เขามองโทนี่ที่ลุกขึ้นยืนแล้วกระชากหน้ากากอนามัยปาลงพื้น คนตัวเล็กหายใจฟืดฟาด ไล่มองคนในห้องเรียงคนไม่เว้นแม้กระทั่งเขา เขาเลิกคิ้วทำหน้าถามว่า อะไร ก่อนโทนี่จะหันไปมองทางพวกที่ล้อเลียนตัวเองไม่หยุด

“เลิกเอาคนอื่นไปล้อเล่นเป็นเรื่องตลกเสียที! สนุกมากเหรอที่เหยียบย่ำความทุกข์ของคนอื่นน่ะ! เคยคิดบ้างมั๊ยว่าคนที่โดนทำเขาจะรู้สึกยังไง ถ้าไม่ชอบกันก็ไม่เห็นต้องมายุ่งเลยหนิ!”

คนทั้งห้องเงียบ สตีฟเองก็เช่นกัน โทนี่ไล่สายตามองเพื่อนในห้องทุกคนอีกครั้ง ก่อนมาหยุดอยู่ที่เขานานพอควร สตีฟสาบานว่าเขาไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ เจ้านี่กำลังน้ำตาไหล

“ถ้ามีคนทำกับพวกนายแบบนี้บ้างพวกนายจะรู้สึกยังไงล่ะ! ถ้ามีคนเอาพวกนายไปพูดล้อจนกลายเป็นตัวตลกของทุกคนไปหมด พวกนาย ฮึก จะรู้สึกยังไงกัน!”

ครืด ปั้ง!

โทนี่พูดจบก็วิ่งออกจากห้องไปทั้งน้ำตา แถมยังกระแทกประตูปิดเสียงดังจนทำคนด้านในตกใจกันเป็นแถบๆ สตีฟมองดูเพื่อนในห้องซึ่งบางกลุ่มยืนก้มหน้ามองพื้น บางกลุ่มยืนมองหน้า แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ สตีฟถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปจับที่เปิดประตู

“ก็ตามที่เจ้านั่นพูด” สตีฟว่า เพื่อนทั้งห้องมองเขาเป็นตาเดียว “ถ้าพวกนายยังมีจิตสำนึกเหลืออยู่บ้าง พวกนายคงคิดกันได้นะว่าควรทำยังไง”

 

สตีฟวิ่งออกจากห้องไปตามหาเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้ตอนนี้ไปขลุกอยู่ไหน เขาวิ่งไปเกือบทั่วโรงเรียน ถามคนที่ผ่านไปผ่านมาว่าเห็นโทนี่บ้างหรือเปล่า แต่ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า สุดท้ายสตีฟจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นไปยังดาดฟ้า ที่เดียวที่เขายังไม่ได้ขึ้นไปหา

เขาไม่คิดว่าเขาจะเจอโทนี่นั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่บนนี้ เขาค่อยๆ ปิดประตูชั้นดาดฟ้าให้เบามือที่สุดเพราะกลัวไปรบกวนคนตัวเล็ก เสียงร้องไห้แบบแหบๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบอย่างต่อเนื่อง โทนี่นั่งทับขาตัวเอง สองมือภายใต้ถุงมือสีแดงลายจุดขาวยันพื้นซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ตัวสั่นสะท้าน

สตีฟค่อยๆ เดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี เกิดมาก็ไม่เคยปลอบใครมาก่อน แล้วนี่จะให้มาปลอบคนอื่น…ที่เป็นผู้ชายด้วยเนี่ย เขายิ่งทำไม่เป็นเลย

“เฮ้” สตีฟเรียกโทนี่เสียงเบา เสียงสะอื้นหายไปแทบจะทันที คนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นพลางใช้ถุงมือปาดน้ำตาออก “ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่า”

สตีฟอยากจะตะโกนใส่หน้าตัวเองจริงๆ ว่า ทำไมถึงถามโง่ๆ แบบนั้นออกไปวะ ทั้งที่ก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เขาพยายามเดินเข้าไปหาโทนี่ซึ่งนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม ที่เดิม

“…อื้อ” โทนี่ตอบเสียงเบา หลังจากนั้นเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นมาอีก “ฮึก…”

“คือ ได้เวลาเรียนแล้ว เลยมาตาม” สตีฟอ้างข้ออ้างที่คิดว่าดูมีเหตุผลที่สุด “ไปเรียนกันได้แล้ว”

“อื้อ”

โทนีค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านตัวเขาไป ร่างกายเล็กยังสั่นอยู่น้อยๆ แถมยังคอยยกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ยอมเลิก โทนี่กำลังเดินไกลสตีฟออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยังไม่เลิกร้องไห้ สตีฟมองตามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงที่ผุดขึ้นมา เขาพยายามเพิกเฉยต่อความรู้สึกนี้ สตีฟสะบัดหน้าไปมาแรงๆ แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจรีบวิ่งไปคว้าข้อมือคนตัวเล็กเอาไว้ จากนั้นก็ดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เขากดหัวทุยให้ซบลงกับอกของเขา ก่อนกระชับกอดที่เอวอีกคนแน่น

โทนี่ดวงตาเบิกกว้างเมื่อโดนเพื่อนร่วมโต๊ะลวนลามเขาอีกแล้ว แถมยังเป็นเวลาที่กำลังรู้สึกแย่ทุกที ความตกใจทำให้เขาลืมความเศร้าไปเลย หัวใจที่บอบช้ำจากคำพูดคนอื่นกลายเป็นเต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาไม่ได้กอดตอบสตีฟ เพียงแค่ซบหน้าลงกับอกกว้างแสนอบอุ่น

หิมะกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าสีเทา ความกดอากาศต่ำลงเรื่อยๆ และความหนาวก็เพิ่มมากขึ้นทุกที แต่คนทั้งสองที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นสักนิด

“บอกตรงๆ ว่าไม่ได้อยากปลอบด้วยวิธีนะ แต่คิดไม่ออกแล้วว่าควรจะทำยังไงดี”

“อื้ม” โทนี่ตอบสั้นๆ และซบหน้าผากลงกับอกเขา น้ำตาหมอนี่ไหลลงมาอีกแล้ว “ขอบคุณนะ”

“…อย่าคิดมาก เดี๋ยวก็ป่วยหนักกว่าเดิมหรอก” โทนี่พยักหน้าอยู่ในอ้อมกอด “แล้วก็ ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องมาเถอะ ฉันไม่กลัวเสื้อเปื้อนน้ำตาของนายหรอก”

ยังไม่ทันได้พูดจบ โทนี่ก็ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่น สตีฟกระชับกอด ลูบหัวปลอบใจคนในอ้อมแขน เขาสับสนตัวเองไม่น้อยว่าเพราะอะไรถึงมาทำแบบนี้ สับสนตั้งแต่ตอนพาเจ้านี่ไปส่งบ้านแล้วด้วยซ้ำ

 

กว่าโทนี่จะยอมเงียบก็นานทีเดียว สตีฟยืนจนปวดขาไปหมดและลูบหัวปลอบเจ้าเตี้ยจนมือแข็งเช่นกัน โทนี่ผละตัวออกจากเขาแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสั่งน้ำมูก จากนั้นก็จาม แล้วก็ไอค่อกแค่ก คนตัวเล็กหายใจออกมาเป็นควันขาว หน้าเริ่มแดง ตาบวมช้ำเริ่มปรือ ริมฝีปากเริ่มซีด

“ไหวมั๊ยเนี่ย”

“ไหวสิ”

“ดูสงบปากสงบคำขึ้นนะ”

“จะหาเรื่องหรือไง! แค่กๆๆ”

โทนี่ตะโกนใส่สตีฟเมื่อโดนแขวะ จากนั้นก็ไอออกมาจนตัวโยน คนตัวเล็กสูดน้ำมูกก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดจมูก

“มาให้ฉันวัดไข้หน่อย” สตีฟเอื้อมมือจะจับตัวโทนี่แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงหลบ “อย่ามาดื้อ”

“ไม่เป็นไร ฉันโอเค” โทนี่ว่าแล้วหลบสายตาเป็นห่วงของสตีฟ หัวใจเต้นแรงไม่ยอมหยุดเลย “ไปเรียนกันเถอะ เราโดดมาตั้งสองคาบแล้วนะ”

“มาวัดไข้ก่อน”

“ไม่เป็นไรไงเล่า ไปเรียนเร็ว อ่ะ…”

โทนี่ที่ทำท่าจะหันหลังวิ่งหนีต้องชะงักเมื่อสตีฟก้าวเพียงก้าวเดียวก็คว้าต้นแขนเขาได้ ก่อนดึงให้หันไปหาแล้วยื่นหน้าตัวเองมาเสียใกล้ ดวงตาสีฟ้ามองเขา คิ้วเข้มขมวดจนจะเป็นปม โทนี่ได้แต่ยืนตัวแข็ง ลืมวิธีหายใจไปเลยทีเดียว เขาอยากจะโวยอีกคนที่คิดจะล่วงเกินเขาอีกแล้วแต่ปากมันกลับไม่ขยับสักนิด สุดท้ายก็ทำได้แค่หลับตาปี๋แล้วเม้มปากแน่น

โทนี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกอุ่นที่หน้าผากและมีลมหายใจเป่ารดอยู่บนริมฝีปาก แต่พอเห็นชัดๆ เต็มสองตาก็แทบจะระเบิดตัวเองไปเสียเดี๋ยวนั้น สตีฟใช้มือเปิดผมหน้าม้าของเขาขึ้นแล้วแนบหน้าผากตัวเองลงกับหน้าผากของเขา ดวงตาสีฟ้าที่แสนมีเสน่ห์อยู่ใกล้จนโทนี่มองเห็นได้ชัดๆ เป็นครั้งแรก เขาเหมือนโดนสะกดด้วยมนตร์อะไรสักบท

สตีฟมองเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลซึ่งมีแว่นหนาเตอะบดบังอยู่ เขารู้สึกขัดใจไม่น้อยเมื่อไม่สามารถเห็นนัยน์ตาหวาน แพขนตาเรียงตัวสวยของคนตัวเล็กได้ชัดๆ เหมือนเมื่อวานตอนอยู่ในห้องน้ำ เขาปล่อยมือที่แปะอยู่บนหัวอีกคนมาถอดแว่นแสนเกะกะนี่ขว้างทิ้ง จากนั้นก็มองดงตากลมโตสีน้ำตาลที่น่าหลงใหลซึ่งกำลังมองเขาอย่างตกใจ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้สตีฟกำลังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเขาได้มองดวงตากลมโตนี้นานเท่าไหร่ สติของเขาก็เหมือนถูกดึงออกไปไกลมากเท่านั้น เขาลืมวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองไปหมดเลย จากนั้นก็ไล่สายตาลงมาที่จมูกโด่ง ก่อนหยุดที่ริมฝีปากอิ่ม เขามองมันอยู่นานพลางเลื่อนหน้าเข้าไปหา

สตีฟรู้ดีว่าไม่ควรทำอย่างนี้ แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เขาเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกคนมากขึ้นจนริมฝีปากของเขาแตะกับริมฝีปากอิ่ม ความอุ่นและความนิ่มของมันกระตุ้นให้เขาอยากลิ้มลองรสชาติภายใน เขากำลังจะเบียดริมฝีปากตัวเองลงไปแต่กลับโดนผลักออกเสียก่อน

“เอ่อ ขอตัวก่อนนะ” โทนี่ที่ตั้งสติได้รีบถอยออกไปยืนให้ห่าง เขาก้มหน้างุด เอามือถูกัน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงตรงหน้า ยิ่งเห็นสายตาสีฟ้ากำลังจ้องมองมา เขาก็ยิ่งเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

โทนี่หมุนตัววิ่งออกไปโดยไม่มีแว่น นั่นทำให้เขามองไม่เห็นทางเลยเผลอเหยียบแว่นตัวเองที่โดนสตีฟปาทิ้งไป

เพล้ง…

คนตัวเล็กอยากจะกรีดร้องออกมาให้ได้ยินไปถึงดาวอังคารจริงๆ!

 

จะว่าไปแล้วสตีฟยังขำไม่หายกับท่าทีตลกๆ ตอนโทนี่รู้ว่าตัวเองวิ่งเหยียบแว่นตัวเองจนพัง เขาขำมากจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ยกมือกุมท้องตัวเอง ก่อนโดนเจ้าตัวเล็กหันกลับมาวิ่งไล่เตะแล้วสุดท้ายก็ทรุดเพราะเหนื่อย จากนั้นก็โวยเขาเสียงดังแล้วจะวิ่งลงด้านล่าง แต่มิวายชนขอบประตูจนเกือบหงายตึง

ตอนนี้เขาโดดเรียนมาอยู่ที่ห้างชื่อดังซึ่งมีป้ายชื่อแปะเด่นหราอยู่ว่า ‘Stark’ สตีฟแทบสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อเห็นชื่อห้าง เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าชื่อของที่นี่เป็นชื่อเดียวกับเพื่อนร่วมโรงเรียนของเขา อาจจะเพราะแต่ก่อนเขายังไม่ได้รู้จักเจ้าเตี้ยก็ได้

พอคิดมาถึงตรงนี้ สตีฟก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงสนใจเจ้านี่ขึ้นมา เขาพยายามหาคำตอบให้ตัวเองมาหลายครั้งแล้วแต่มันก็ไม่เจอ เขาว่ามันคงไม่ใช่แค่เพราะรู้สึกสงสารแน่ๆ

สตีฟเดินมาหยุดหน้าร้านตัดแว่นสายตาร้านหนึ่ง เขาจดๆ จ้องๆ หน้าร้านอยู่นานก่อนเดินเข้าไป จากนั้นก็หยิบแว่นของเจ้าเตี้ยขึ้นมาดู โชคยังดีที่เลนส์ไม่พังมากนักดังนั้นเขาจึงสามารถหาซื้อแว่นใหม่ไปคืนให้ได้ สตีฟเดินดูแว่นรูปทรงต่างๆ อยู่สักพัก พนักงานในร้านก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม

“อยากได้แว่นแบบไหนดีคะ ตอนนี้ทางร้านมีโปรโมชั่นซื้อแว่นสายตาหนึ่งอัน แถมฟรีอีกหนึ่งอัน แถมยังลด 50% ด้วยนะคะ สนใจแบบไหนสอบถามได้ค่ะ”

“อ่า ครับ” สตีฟหัวเราะแห้งๆ เขาไม่รู้ว่าโทนี่ชอบสไตล์ไหน ก่อนนึกขึ้นได้แล้วชูแว่นพังๆ ในมือให้พนักงานคนสวยดู “คือผมอยากได้แบบนี้ เอาสายตาเท่านี้เลยครับ”

“เผอิญว่าแว่นรุ่นนี้ทางบริษัทเลิกผลิตไปแล้วค่ะ ไม่สนเป็นรุ่นอื่นเหรอคะ”

สตีฟหน้าสลดลงเล็กน้อย เขาลดมือลงเก็บแว่นเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนเงยหน้ามองพนักงานแล้วถามเธอ “ช่วยเลือกให้ผมหน่อยได้มั๊ยครับ ผมไม่รู้ว่าคนที่ผมจะซื้อให้เขาชอบแนวไหน”

“ได้ค่ะ” พนักงานยิ้มกว้าง “ลักษณะบุคลิกของเขาเป็นยังไงคะ”

“เปิ่นๆ แต่ตาของเขาสวยมากเลยครับ มองกี่ทีก็จะละลายเสียให้ได้ ถึงหน้าจะดูรกไปหน่อย แต่พอได้มองตาโตๆ คู่นั้นแล้วมันกลับดูเข้ากันแปลกๆ”

“เห~” พนักงานส่งเสียงร้องแล้วยิ้มกริ่ม สตีฟหน้าร้อนขึ้นมาทันที อยากตบปากตัวเองแรงๆ เสียสองสามที พูดบ้าอะไรออกไปวะ

“เอ่อ ช่วยหาแว่นที่เข้ากับดวงตาแบบนั้นให้ทีนะครับ”

 

สุดท้ายพนักงานก็เลือกแว่นสี่เหลี่ยมกรอบดำให้เขา พนักงานนำเลนส์ที่เกือบพังไปวัดขนาดสายตาแล้วเอามาบอกสตีฟ เธอถามเขาหลายอย่างมากซึ่งเขาเองก็ตอบได้บ้าง ยืนเอ๋อบ้าง ก่อนเธอจะแนะนำให้เขาซื้อคอนแทคเลนส์มาใช้แก้ขัดไปก่อนระหว่างรอแว่นใหม่เสร็จ

แล้วตอนนี้สตีฟก็กลับเข้าในโรงเรียนโดยทางลับที่เขาใช้หนีเรียนประจำ จากนั้นก็รีบหลบขึ้นห้องเรียน โชคยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวันพอดีเขาเลยเนียนปะปนไปกับฝูงชนได้ พอขึ้นมาถึงหน้าห้องเรียนแล้วเขาก็เห็นโทนี่นั่งก้มหน้าอยู่ในห้องกับใครคนหนึ่ง เพื่อนร่วมห้องคนนี้ของเขาตัวเตี้ยประมาณโทนี่ ผมหยักศกสีดำ ใส่แว่น กำลังนั่งจ้องโทนี่ไม่วางตา สตีฟจำได้ว่าหมอนี่ชื่อบรูซ คนที่ต้องนั่งข้างโทนี่ในวันเปิดเทอมวันแรก แต่เพราะเขาขอย้ายที่กะทันหัน บรูซเลยต้องไปนั่งหลังห้องซึ่งเคยเป็นที่ของเขาแทน

สตีฟรีบจับที่เปิดประตูทันที อยู่ๆ ก็เป็นห่วงกลัวว่าอีกคนจะโดนแกล้งหรือโดนทำร้ายขึ้นมา เขาทำท่าจะเลื่อนมันเปิดแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าบรูซคว้ามือโทนี่ไปจับ จากนั้นก็ทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี ร้องเสียงหลงอีกด้วย ทั้งคู่พูดอะไรกันไม่รู้ก่อนเจ้าเตี้ยจะหน้าแดงก่ำและส่ายหน้าเป็นพัลวัน สตีฟปล่อยที่เปิดประตูออกแล้วหันหลังพิงกำแพงห้องเรียน

รู้สึกโล่งอกจนต้องผ่อนลมหายใจออกทางปาก มันกลายเป็นควันขาว เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้านั่นพอจะมีเพื่อนเข้าหาบ้างแล้ว ถึงหน้าเขาจะยิ้มแต่ความรู้สึกบางอย่างมันกลับประท้วงขึ้นมาในใจ

ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก บรูซที่เดินออกมาแล้วเจอเขายืนอยู่ก็ส่งยิ้มกว้างให้ ก่อนเดินมาดันหลังของเขาให้เข้าไปด้านในห้อง จากนั้นก็ตะโกนไล่หลังเขามา

“อยู่ด้วยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันซื้ออะไรมาให้ เอาเป็นแฮมเบอร์เกอร์แล้วกันกินง่ายดี ไปล่ะ” แล้วก็ปิดประตูให้เสร็จสรรพ ก่อนโบกมือบ๊ายบายและวิ่งจากไปด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยแปลกๆ ปกติดีหรือเปล่าเนี่ย

สตีฟหันมามองโทนี่ที่นั่งยิ้มแหยๆ ด้วยใบหน้าขึ้นสี “หมอนั่นเป็นอะไรของเขา”

“ไม่รู้สิ ตอนหมดคาบพักกลางวัน อยู่ๆ ก็เดินมาสั่งให้ฉันรออยู่ก่อนห้ามไปไหน แล้วก็ถามเรื่องของเรา…เอ่อ หมายถึงเรื่องที่เรารู้จักกันได้ยังไงน่ะ” โทนี่หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม ส่วนสตีฟก็รู้สึกว่าในนี้ร้อนแปลกๆ

“ฉันไปหาซื้อแว่นใหม่มาให้นายแล้วนะ แต่ว่ามันต้องใช้เวลาสักพัก ฉันเลยซื้อคอนแทคฯ มาให้ใส่ไปก่อน ไม่แน่ใจว่ามันจะพอดีกับสายตาของนายหรือเปล่า”

“ขอบใจนะ ทั้งหมดเท่าไหร่ล่ะ” โทนี่ทำท่าจะล้วงกระเป๋าตังค์ขึ้นมาจ่ายเงิน แต่กลับหาไม่เจอ เขาพยายามนึกว่าเขาวางทิ้งไว้ที่ไหนก่อนตีหน้าเศร้าเมื่อจำได้แล้ว ลืมไปเลยว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อวานเพราะเขาโดนแกล้ง

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง แล้วฉันก็เป็นสาเหตุทำให้มันพังด้วย” สตีฟยักไหล่ “ว่าแต่บ้านนายก็ออกจะรวย กับอีแค่กระเป๋าตังค์ใบเดียวไม่เห็นต้องสนใจเลย ซื้อใหม่ก็ได้”

“ไม่ได้หรอก” โทนี่ก้มหน้าลง ยกยิ้มขึ้นบางๆ “เรื่องเงินน่ะฉันไม่ห่วงหรอกนะ แต่กระเป๋าตังค์ใบนั้นน่ะ เป็นใบสุดท้ายที่แม่ของฉันซื้อให้ก่อนท่านจะเสียเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบิน”

“เสียใจด้วยนะ” สตีฟพูดเสียงเบาแล้วนั่งตัวเกร็งขึ้นมา เขามองโทนี่ที่เริ่มเปล่งออร่าความเศร้าออกมาอีกแล้ว “แล้วพ่อของนายล่ะ”

“หนีไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศน่ะ ฮ่ะๆ”

เป็นนายก็พูดได้สิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบฉันหนิ!

อยู่ๆ คำพูดเมื่อวานตอนค่ำของโทนี่ก็ลอยเข้ามาในหัว สตีฟพูดอะไรต่อไม่ออกทันที มันเหมือนน้ำกำลังท่วมปาก เขาพยายามหาคำพูดดีๆ เพื่อมาปลอบใจคนตัวเล็ก แต่ก็อย่างที่เคยบอก เขาปลอบคนไม่เป็น

“เฮ้! อย่าคิดมากเลยน่า ตอนนี้นายก็มีฉันแล้วไง อีกอย่างก็เหมือนจะมีเพื่อนใหม่แล้วด้วยนี่” สตีฟอยากรู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดออกไปแบบมั่นใจขนาดนั้น แต่พอเห็นอีกคนยิ้มกว้างจนตาปิดให้ เขาก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็รู้สึกดีมากที่เห็นเจ้านี่มีความสุขขึ้นมาได้เสียที เขายิ้มกว้างตาม

“ขอบคุณนะ” โทนี่ว่า ยังไม่ยอมหยุดยิ้มให้เขา “ฉันขอตัวไปใส่คอนแทคเลนส์ก่อนดีกว่า ตั้งแต่เช้าเรียนไม่รู้เรื่องเลย”

“แล้วหายไม่สบายแล้วเหรอ”

“อาการดีขึ้นมากแล้วล่ะ ถึงจะแสบคอกับคัดจมูกอยู่นิดหน่อยก็เถอะ”

สตีฟพยักหน้ารับคนตัวเล็ก โทนี่ถอยเก้าอี้ลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู ขาสั้นกำลังจะก้าวออกไปแต่เขากลับเรียกอีกคนเอาไว้ คนตัวเล็กหันมาเลิกคิ้วใส่เขา สตีฟไม่รู้เลยว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้พูดกับเจ้านี่มากเป็นพิเศษ แถมยังพูดแต่ละอย่างที่แปลกพิลึกอีกต่างหาก

“ฉันชอบเห็นนายแบบไม่ใส่แว่นมากกว่านะ สตาร์ค”

 

โทนี่นั่งมองตัวเองผ่านกระจกในห้องนอน ตอนนี้เขาไม่ได้สวมแว่นหนาเตอะแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ความรู้สึกใจเต้นตึกตักยังไม่หายไปเสียที คำพูดของสตีฟเมื่อตอนพักกลางวันยังเล่นซ้ำอยู่ในหัว

‘ฉันชอบเห็นนายแบบไม่ใส่แว่นมากกว่านะ สตาร์ค’

หัวใจของโทนี่เต้นแรงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วก้มหัวสะบัดไปมา ก่อนจะเงยขึ้นแล้วดิ้นเพราะเขินไม่หาย โทนี่ปล่อยมือออกจากหน้าแล้วก้มลงใหม่อีกครั้ง แต่เพราะมันแรงและเร็วเกินไปเลยทำให้หัวโขกกับพื้นโต๊ะเครื่องแป้งเสียงดัง โป้ก!

“โอ้ย!” โทนี่แหกปากลั่น ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเองที่คงปูดในอีกไม่นาน จากนั้นก็มองตัวเองในสภาพไม่มีแว่นหนาเตอะอีกครั้ง

โทนี่ลองเปิดผมหน้าม้าขึ้น ในหัวคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหยิบโทรศัทพ์กดโทรหาพ่อบ้านคนสนิทแล้วสั่งบางอย่าง จากนั้นไม่นานประตูห้องนอนของเขาก็เปิดออกแล้วมีสไตลิสเดินเข้ามา ทุกคนพากันทำหน้าเหวอและแปลกใจ โทนี่เพียงแค่กระแอมไอก่อนออกคำสั่ง

“ต่อไปนี้ผมจะไม่ใช่โทนี่คนเชยๆ อีกแล้ว เพราะงั้นช่วยแปลงโฉมให้ผมหน่อยนะครับ”

 

– – – – – – – – – – – – – – END? – – – – – – – – – – – – –

 

จบ มั๊ย ไม่สิ(?) 55555555 แต่จะมาต่อตอนไหนยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ #โดนตบ
แต่ก็อยากให้คอยติดตามกันนะคะ สัญญาว่าจะมาเร็วๆ น้าาา (.__.)
อยากถามว่าชอบสตีฟกับโทนี่แนวนี้ (แบบในฟิค) กันมั๊ยคะ แต่กวาชอบจัง 55555

แล้วก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ ขอบคุณมากๆเลยจ้า xD

ปล. แอบฝากเพจ SaRa_PAO

ปล.2 ถ้าอยากอ่านฟิคตอนอื่นให้เลื่อนขึ้นไปแล้วมองขีดๆแถบซ้ายมือนะคะ กดเข้าไปมันจะมีเขียนว่าสารบัญอยู่

ปล.3 ตอนที่3&4มาแล้วจ้าา -> First Snow [3] , First Snow [4]

[AU]Steve x Tony: Happy Valentine’s Day

Note: โทนี่เวอร์ชั่นนี้เด็กน้อยขี้อ้อนมาก…รู้สึกอยากแต่งแนวนี้ขึ้นมา 55555

มันสั้นมากจริงๆ และเนื้อหาไม่มีอะไรเลย…(.__.)

–  – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

‘แหมะ’

“หื้ม?”

สตีฟเหลือบสายตาขึ้นมองอะไรบางอย่างซึ่งวางแหมะอยู่บนหัวของเขา ก่อนเจอเข้ากับไรหนวดเคราบนหน้าของไอเด็กตัวแสบที่เพิ่งขึ้นมาจากห้องแล็ป เขาถอนหายใจแล้วศอกเข้าที่ท้องหมอนั่นให้ถอยออกไป เสียงโวยวายดังขึ้นก่อนร่างของโทนี่จะกลับมาวางคางแหมะบนหัวเขาตามเดิม

“ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้องดีๆ สิ อย่ามาทำตัวแบบนี้”

“ขี้เกียจ” คำตอบสั้นๆ ก่อนเสียงกรนจะดังขึ้นมาแทน สตีฟส่ายหน้าอย่างระอาใจแล้วปิดหนังสือวรรณกรรมเยาวชนลงบนโต๊ะ เขาจัดการหันไปดันตัวอีกฝ่ายให้ยืนดีๆ ก่อนลุกขึ้นรับเอาคนตัวเล็กกว่ามาอุ้มพาดไหล่ จากนั้นก็พาเข้าห้องนอนนำร่างมะขามป้อมไปวางบนเตียงกว้างแสนนุ่มของเจ้าตัว(และของเขาเช่นกัน)

“ต้องให้ดูแลตลอดเลยเหรอไง”

“อื้อ ดูแลตลอดไปเลยแหละ”

สตีฟนิ่งไปสักพัก ก่อนหลุดยิ้มขำออกมา แก้มของเขาแดงขึ้นน้อยๆ สีหน้ารำคาญใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นมีความสุข

“ไม่ไหวหรอกนะถ้าจะให้มาดูแลคุณไปตลอดชีวิต”

“ทำไม” หลังได้ยินสตีฟพูดจบโทนี่ก็ลืมตาโพลงขึ้นมองทันที ใบหน้าที่เคยง่วงซึมเปลี่ยนเป็นตกใจเล็กน้อย สตีฟเพียงแค่หัวเราะ “ทำไมมม”

“ตอนนั้นผมคงแก่จนอุ้มคุณไม่ไหว”

“เดี๋ยวสร้างเซรุ่มให้ใหม่ เอาให้เจ๋งกว่าของพ่ออีก”

“แต่คุณก็ใช่จะอายุน้อยๆ แล้วนะ”

“เดี๋ยวสร้างเซรุ่มฉีดเหมือนกัน”

“คำว่าตลอดไปไม่มีจริงหรอกนะโทนี่”

สตีฟพูดจบดวงตาเล็กก็ฉายแววไม่พอใจ เสียใจ และรำคาญอยู่ในที ริมฝีปากอิ่มถูกกัดอย่างขัดใจ ใบหน้ายู่ลงเมื่อเถียงต่อไม่ออก

สตีฟยิ้มบางแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียง โทนี่นอนตะแคงหนีหน้าเขาเพราะกำลังงอนอยู่ สตีฟส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มกว้างกับท่าทีเด็กไม่รู้จักโต เขาดึงอีกฝ่ายให้หันมามองตัวเอง

“คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้สิ เอาแต่หนีแบบนี้จะมีแต่ยิ่งทุกข์เปล่าๆ นะ”

“…แล้วนายทำใจได้หรอไงเล่า ถ้าสมมติว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้วน่ะ”

“ไม่ได้หรอก” สตีฟส่ายหน้าเป็นการยืนยันคำตอบ “ผมก็เคยคิดนะว่าถ้าวันหนึ่งเราต้องจากกันจริงๆ มันจะเป็นยังไง ถ้าสมมติว่าเราต้องกลายเป็นศัตรูกัน ทำเป็นไม่รู้จักกัน เกลียดกัน”

“…ไม่มีทางหรอกน่า”

“อะไรก็เกิดขึ้นได้โทนี่” สตีฟเอื้อมมือไปดึงแก้มอีกฝ่ายแรงๆ แล้วปล่อยออก มันแดงจนเห็นได้ชัดแถมเขายังโดนแว้ดกลับอีกต่างหาก มือของโทนี่ยกขึ้นลูบบริเวณเมื่อครู่เพราะความเจ็บ “ถึงผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปไม่ได้ แต่ผมสัญญาว่าความรักที่ผมมีให้คุณมันจะอยู่ไปตลอด”

“ง่วงแล้ว” โทนี่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเพื่อใช้ปิดใบหน้าซึ่งกำลังเขินของตน “ฝันดี”

“โทนี่ เปิดผ้าห่มออกก่อน มีอะไรจะให้ดู”

“หื้ม?” โทนี่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนตกใจเมื่อโดนริมฝีปากหยักกดจูบลงมาแผ่วเบา จากนั้นสตีฟก็ผละไปกระซิบข้างใบหู “ฝันดีไอตัวแสบ”

“อื้อ…”

-จบ-

รู้สึกเป็นฟิคที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยแต่งมา 555555

แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ จุ๊บ xD

[AU]Steve x Tony: First Snow

Title :: First Snow

Author :: SaRa_PAO

Pairing:: Steve x Tony

Rating :: PG

Note :: โทนี่และสตีฟในเรื่องนี้จะไม่ใช่โทนี่และสตีฟแบบที่เราเคยอ่านเคยรู้จักกันมาก่อนแน่นอน ด้วยความที่เป็นAUและความอยากลองเปลี่ยนบุคคลิกของทั้งคู่ของไรท์เตอร์เอง

อึ้ก…

เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนHigh Schoolของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราสีดำประกายน้ำตาลเช่นเดียวกับสีผมทรงเชยๆ ของพวกหนอนหนังสือ แว่นตาสีน้ำตาลเข้มหนาเตอะบดบังดวงตาของผู้สวม สองมือกุมกระชับสายกระเป๋าเป้ใบโตสองข้างที่มีแต่หนังสือเรียนและสมุดต่างๆ มากมาย

แล้วเสียงเมื่อกี้มันเสียงอะไรน่ะเหรอ? อ้อ…เสียงกลืนน้ำลายของเขาเอง

แล้วทำไมต้องกลืนน้ำลายเสียงดังขนาดนั้นน่ะเหรอ? อ้อ…ก็เพราะว่าปีนี้เขาโดนย้ายจากห้องBไปห้องAซึ่งมีแต่พวกระดับหัวกะทิ และอีกอย่างน่ะนะ…เพราะว่าในห้องนี้มีใครบางคนที่เขาแอบมองเป็นประจำเรียนอยู่ด้วยน่ะสิ

.

.

.

.

.

โทนี่ สตาร์คเดินช้าๆ ไปตามทางเดินระหว่างห้องเรียนอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาก้มหน้ามองพื้นตามสไตล์คนเงียบๆ เน้นเรียนอย่างเดียวของตัวเอง ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นเพราะความรู้สึกแปลกๆ จากรอบข้างที่มีผู้คนเฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา

“หมอนี่มันไอ้เด็กทุนจอมเอ๋อหนิ”

“หมอนี่ได้เลื่อนขั้นจากห้องBไปห้องAแล้วล่ะ สงสัยจะบ้าอ่านหนังสือเป็นวรรคเป็นเวรเลยเนอะ”

“ไอ้เด็กเนิร์ดแบบนี้มันน่าโดนแกล้งเนอะพวกเรา ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงซุบซิบนินทาดังระงมไปทั้งทางเดินทำเอาคนโดนนินทาหน้าชาเพราะความอายที่เป็นที่จับตามองของผู้คนไปทั่วแบบนี้ โทนี่พยายามรีบเดินให้ไปถึงห้องเรียนให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้หลบเลี่ยงคำพูดคำจาทำร้ายจิตใจตัวเขาจากพวกทะโมนพวกนี้

 

ครืด…

ซู่!!!!

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!!”

ทันทีที่โทนี่ถึงห้องเรียนและเปิดประตูพร้อมก้าวขาเข้าไปน้ำห่าใหญ่ก็เทลงมาใส่เขาเต็มที่จนเปียกโชกไปหมด คนตัวเล็กอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะโดนกระทำแบบนี้ เขาค่อยๆ เงยหน้ามองเพื่อนในห้องเรียนใหม่ทุกคนที่เอาแต่หัวเราะเขากันเสียงดังลั่นห้อง

ใบหน้าหนวดขึ้นสีแดงเพราะความโกรธและอาย เขากำสายกระเป๋าแน่นก่อนถอยหลังออกจากห้องไปแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำตรงสุดทางเดินทันที อีกทั้งยังกัดฟันกรอดเพราะความโกรธและแค้นเจ้าพวกบ้าในห้องพวกนั้นจนเห็นสันนูนขึ้นมา

 

ปั้ง!!

โทนี่เขวี้ยงเอากระเป๋าเป้ไปทางประตูห้องน้ำบานหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไปเตะมันซ้ำเต็มแรง ก่อนจะโดดเหยงๆ ร้องแหกปากด้วยความเจ็บ เขาเซไปทางกำแพงในสุดของห้องน้ำแล้วใช้มือยันไว้ก่อนใช้มืออีกข้างจับๆ ขาของตัวเองเอาไว้ เมื่อเริ่มหายเจ็บและความโกรธก็ทุเลาลงบ้างแล้วโทนี่ก็เดินไปยืนหน้ากระจกพลางส่องสภาพเน่าๆ ของตัวเอง

คิดไปคิดมาก็โกรธนะที่โดนทำแบบนี้ แต่เขารู้ดีว่าเขาไปทำอะไรเจ้าพวกนั้นไม่ได้หรอก

ก็พวกนั้นมันเยอะกว่าเขาตัวคนเดียวนี่…

โทนี่ถอดแว่นออกแล้วใช้มือเสยผม เมื่อไร้แว่นดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่เข้ากันกับแพขนตายาวเรียงตัวสวยก็เผยออกมา คนตัวเล็กกระพริบตาสองสามทีแล้วเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำ ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและแต่ละอย่างรันทดทั้งนั้น

“นึกว่ามีผีมาพังห้องน้ำซะอีก”

เฮือก!

โทนี่สะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงพลางหยีตาเพื่อดูใบหน้านั้นให้ชัดๆ แต่เพราะเขาสายตาสั้นเลยไปมันเลยแค่เป็นภาพมัวๆ มองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ มือเล็กพยายามควานหาแว่นที่ตัวเองวางไว้แต่กลับหาไม่เจอ

เฮ้ย!!! แว่นหายไปไหน!!

“ที่แท้ก็พ่อหนุ่มตาหวานนี่เอง”

“…”

โทนี่ไม่สนใจเจ้าของเสียงปริศนา เขาพยายามก้มลงหยีตามองหาแว่นของตัวเอง เขามองไปรอบๆ อ่างล้างมือ มองลงด้านใต้ ชะเง้อไปในห้องน้ำ(?)แต่ก็หาไม่เจอ เขาหันไปมองชายปริศนาอีกครั้งแล้วพยายามใช้มือคลำทางไปหาแว่นที่อื่น

“เอ้าๆ..หาแว่นอยู่เหรอ”

“…”

“แว่นของนายอยู่นี่ไง” ชายปริศนายื่นแว่นมาตรงหน้าของโทนี่ก่อนยกมันชูขึ้นสูงเหนือหัว

“เอาคืนมานะ!”

โทนี่ตวาดเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาพยายามหยีตาเข้าไปอีกทั้งที่เริ่มรู้สึกปวดนิดๆ เพื่อไปคว้าแว่นจากในมือของอีกคนกลับคืนมา แต่เพราะความสูงที่ต่างกันทำให้เขาเอื้อมไปไม่ถึงไม่ว่าจะเขย่งตัวหรือกระโดดก็ตามที

“อยากได้เหรอ? อยากได้ก็มาเอาเองสิ”

“…”

โทนี่กัดฟันกรอด กำมือแน่น แล้วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนออกยาวๆ เพื่อควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองให้สงบลง จากนั้นเขาก็พยายามกระโดดไปคว้าเอาแว่นของตัวเองคืนแต่ตัวมันกลับเซไปชนเจ้าเด็กชอบแกล้งแล้วตัวของเขาก็ไม่ใช่อรชรอ้อนแอ้นเสียเมื่อไหร่ ผลมันเลยกลายเป็นว่าทั้งเขาและเจ้าบ้านี่ล้มลงไปนอนกองกันบนพื้นทั้งคู่

โครม!!!

“โอ้ยยย!!!”

เสียงร้องสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันก่อนโทนี่จะค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งข้างๆ คนตัวใหญ่แล้วยกมือขึ้นกุมหัวของตัวเองบริเวณที่ชนกับปลายคางของอีกฝ่าย คนหน้าหนวดหรี่ตาลงก่อนจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆ ของคนแกล้ง

หัวใจของโทนี่เต้นระรัวทันที ลมหายใจหยุดชะงัก หัวสมองขาวโพลนไปหมด ใบหน้าแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก และตัวก็ยั่งสั่นเพราะความตกใจ(ปนเขิน)อีกด้วย

“ปะ…เป็นอะไรหรือเปล่า” โทนี่ถามเสียงสั่นแล้วพยายามตรวจดูอาการของอีกฝ่าย “ฉันขอโทษนะ”

“เป็นสิ หัวโนล่ะมั้งเนี่ย” เสียงทุ้มใหญ่ตอบก่อนยันตัวขึ้นมาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนและนั่นทำให้ใบหน้าของคนตัวใหญ่อยู่ใกล้กับคนหน้าหนวดที่นั่งตาค้างและโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว

“กะ…ก็นายมาแกล้งฉันก่อนเอง ฉันไม่ผิดนะ”

“รู้น่า แต่มันเจ็บนี่” คนตัวใหญ่ว่าพลางยื่นแว่นคืนเจ้าของมัน “แกล้งนายไม่เห็นจะสนุกเหมือนที่คนอื่นพูดตรงไหนเลย”

“…”

โทนี่รับแว่นของตัวเองมาสวมเข้าที่เดิมแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีไม่พอใจ เขากำหมัดแน่นจนท่อนแขนสั่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเป็นขีดสีขาว ไม่นานมันก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้คนตัวใหญ่ถึงกับสะอึกเลยทีเดียว

“การเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเล่นเป็นเรื่องตลกแบบนี้มันสนุกมากเลยเหรอไง!?! ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนที่โดนแกล้งโดนเอาไปเป็นตัวตลกเขาจะรู้สึกยังไง!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้หรือลุกขึ้นยืนโทนี่ก็เดินกระทืบเท้าออกไปด้วยความไม่พอใจ คนตัวใหญ่ที่ได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กกว่าไปก็อึ้งน้อยๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าขึ้นเสียงใส่เขาสักคน จากความอึ้งเปลี่ยนเป็นความสนใจ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกไป

 

โทนี่กลับมายังห้องเรียนแล้วยกหนังสือเรียนบังหน้าตัวเองเพราะความอายและเขิน ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำยังคงเด่นชัดอยู่ในหัวและเลิกคิดไม่ได้ ภาพใบหน้าของคนผมทองตาฟ้ามันชัดเจนอยู่เต็มสองตาจนลืมไม่ลง คนแว่นหนาเตอะนอนทับแขนตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเพื่อลดอารมณ์วุ่นวายที่อยู่ในใจ เขายืดตัวขึ้นแล้วหยิบเอาหนังสือเรียนออกแต่ก็ต้องชะงักเบิกตากว้างอีกรอบของวันเมื่อภาพของคนที่ลืมไม่ลงมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

เฮ้ย! นี่เราประสาทหลอนไปแล้วเหรอไง!!

โทนี่ยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วเพ่งมองใบหน้าของคนตาฟ้าผมทองให้ชัดๆ อีกรอบ เขาเอื้อมมือไปจับแก้มอีกคนแล้วดึงอย่างแรงก่อนจะรีบปล่อยด้วยความตกใจเมื่อได้ยินอีกคนร้องโอดโอย

ไม่ใช่ฝันนี่หว่า!

“จะเอาคืนที่ฉันแกล้งนายเหรอไง!?”

“เปล่า ไม่ใช่” โทนี่รีบแก้ตัวแล้วหลบสายตาของอีกคน “แล้วมีอะไรกับฉันเหรอไงถึงมานั่งตรงนี้ ถ้าคิดจะแกล้งอีกล่ะก็ฉันไม่ยอมแล้วจริงๆ นะ”

โทนี่ตั้งกาดเตรียมสู้ทั้งที่ตัวเองไม่เป็นศิลปะการต่อสู้สักอย่างเดียว เขาพยายามทำสีหน้าขึงขังกลบเกลื่อนความรู้สึกลึกๆ ที่แท้จริงภายในใจ คนผมทองตาฟ้าเพียงแค่หรี่ตามองอย่างนึกขันในใจแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เขาใช้ศอกท้าวโต๊ะแล้วยื่นหน้ามาจนหน้าผากชนกับหน้าผากของคนแว่นหนาเตอะ

“จะมาขอนั่งด้วยอ่ะ ได้เปล่า?”

“ห๊ะ!!!!”

โทนี่ร้องลั่นอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู คนผมทองหัวเราะออกมาเสียงดังกับท่าทีโอเว่อร์ของอีกฝ่ายแล้วขยับตัวจากนั่งตรงข้ามอีกฝ่ายมานั่งข้างอีกคนแทน เขาหันไปส่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่มองตามเขาและยังอ้าปากค้างไม่หยุด

“แต่นี่มันที่ของบรูซ” โทนี่แย้ง “นายคงนั่งตรงนี้ไม่ได้หรอก”

“เหรอ ก็ฉันอยากนั่งอ่ะ แล้วไง?”

คนผมทองว่าแล้วเดินกลับไปที่นั่งเก่าของตัวเองก่อนหยิบเอาข้าวของของตัวเองมานั่งที่ใหม่ข้างโทนี่ ก่อนตะโกนประกาศเสียงดังไปทั่วทั้งห้องทำเอาเพื่อนๆ ในห้องอ้าปากค้างทุกคน(โทนี่เองก็เช่นกัน)

“ต่อไปนี้ที่นั่งข้างไอ้แว่นนี่เป็นที่ของฉัน ใครแย่งมีเจอดีแน่!”

“เฮ้ย!!!” โทนี่พยายามแย้งแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยเขาได้ เขาเลยทำได้แค่หันไปมองตาขวางใส่คนข้างตัวแทน

“นายชื่ออะไรนะ โทนี่ กะต๊ากใช่มะ”

“ไม่ใช่กะต๊าก โทนี่ สตาร์ค สะ-ต๊าก”

“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณสตาร์ค ฉันสตีฟ โรเจอรส์”

“อะ อื้ม”

โทนี่รับคำสั้นๆ แล้วหันกลับไปนั่งหันหน้าเข้าหากระดานตามเดิม เขาพยายามตีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งที่ในใจมันเต้นระรัวและแทบไม่เชื่อว่าคนที่เขาแอบมองมาตลอดตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่จะเข้ามาทำความรู้จักเขาแบบนี้ โทนี่ก้มหน้าลงมองหน้าตักตัวเองก่อนยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ

สตีฟเหล่มองคนตัวเล็กแล้วเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนยิ้มออกมาบางๆ เขามองใบหน้าด้านข้างคนข้างๆ อยู่นานจากนั้นก็ฟุบตัวลงนอนบนโต๊ะโดยไม่สนว่ามันถึงเวลาเข้าเรียนแล้วหรือเปล่า

 

สตีฟสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหลับไปนาน เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำลายที่มุมปากแล้วมองไปรอบๆ ตัวแต่ก็ไม่เจอใครเลยสักคน ดวงตาคมเบิกกว้างพร้อมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูและต้องสบถออกมาเมื่อมันหมดเวลาพักเที่ยงพอดี

จ๊อก จ๊อก…

หิวง่ะ…

สตีฟหน้ามุ่ยแล้วยกมือขึ้นกุมท้องเพราะความหิว เขาถอยเก้าอี้ลุกขึ้นยืนแล้วยีผมตัวเองเบาๆ อย่างหัวเสีย สายตาคมมองไปรอบๆ ห้องเพื่อหาโอกาสหนีเรียนไปกินมื้อกลางวัน คนตัวสูงเดินไปยังหน้าประตูห้องเรียนก่อนจะชะงักหยุดเมื่อเจอเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเขาพอดี

“อ่ะ”

“หื้ม?”

สตีฟทำหน้างงเมื่อมือเล็กยื่นถุงกระดาษแฮมเบอร์เกอร์มาตรงหน้าเขา เขาคว้ามันมาถือก่อนเปิดออกดูแล้วเห็นก้อนกลมๆ ของแฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนซ์ฟรายหนึ่งห่อพร้อมขวดน้ำขวดเล็กด้านใน

“ของฉันเหรอ?”

“ใช่ ฉันเห็นนายหลับไม่ยอมตื่นเสียทีเลยซื้อขึ้นมาให้”

“โอ้…”

สตีฟร้องออกมาเบาๆ เลิกคิ้วนิดๆ เขามองคนแว่นหนาเตอะที่ยืนก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรรีบเดินเข้าไปนั่งที่ตัวเองด้วยสายตาแปลกใจ แต่คนตัวสูงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนเดินออกจากห้องไปเพื่อกินมื้อกลางวันของตัวเอง

 

“เอาคืนมานะ!!”

“เรื่องอะไรล่ะ ฮ่าๆๆๆ”

“เอาคืนมาสิ!!!”

สตีฟที่เดินกลับมายังห้องเรียนตามเดิมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากภายในห้อง เขาเลื่อนประตูเปิดเพื่อดูสถานการณ์ก่อนเห็นเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของตัวเองกำลังโดนแกล้ง

สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ คนตัวเล็กกำลังพยายามยื้อแย่งเอากระเป๋าเป้ของตัวเองคืนมาจากพวกตัวใหญ่กล้ามบึ้กกลุ่มหนึ่ง พวกมันโยนกระเป๋าของคนตัวเล็กไปมาในกลุ่มของมันเพื่อหลอกให้อีกคนวิ่งตามเพื่อเอาคืนจนหัวปั่น และพวกมันก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ก่อนสุดท้ายจะมีคนในกลุ่มคนหนึ่งเปิดหน้าต่างห้องเรียนออกแล้วขว้างของในกระเป๋าเป้และตัวกระเป๋าของคนหน้าหนวดลงไปข้างล่างพร้อมปิดหน้าต่างก่อนผลักคนตัวเล็กให้ล้มไปนั่งกับพื้น

เพื่อนในห้องหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทีเปิ่นๆ ของคนบ้าเรียน ไม่มีใครสนใจจะช่วยโทนี่เลยสักนิด โทนี่เองก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธและความอายก่อนจะมองไปรอบๆ ในห้อง ดวงตากลมคลอไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากกัดเข้าหากัน มือเล็กกำเข้าหากันแน่นจนเห็นเส้นลือดปูด

เมื่อสุดท้ายเห็นว่าคนในห้องยังคงขำกันอยู่เหมือนเดิมไม่สนใจใยดีความรู้สึกของเขา โทนี่ก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

สตีฟมองตามคนตัวเล็กที่วิ่งออกจากห้องไปจนลับตาและแน่นอน…สตีฟไม่ได้คิดจะตามไปอยู่แล้ว

 

เลิกเรียนแล้วแต่สตีฟก็ยังไม่เห็นโทนี่กลับขึ้นมาบนห้องเลย ที่นั่งข้างตัวของเขายังคงว่างเปล่าเหมือนเดิมตั้งแต่หลังพักเที่ยง สตีฟพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันกลับไปเก็บของตามเดิมก่อนมองไปทางหน้าต่างแล้วเห็นว่าหิมะแรกของปีเริ่มตกลงมาแล้ว

เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยสตีฟก็เดินไปหยิบเอาเสื้อโค้ทของตัวเองมาสวมก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเสื้อโค้ทสีเลือดหมูที่ตัวเล็กกว่าเสื้อโค้ทของเขาอยู่มากแขวนอยู่ด้านใน ถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่มันก็ดูดีมากเลยทีเดียว สายตาคมมองมันอยู่พักใหญ่ก่อนปิดประตูตู้ลงแล้วเดินออกจากห้องไปไม่ได้คิดจะสนใจอะไร

สตีฟเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินออกจากตัวอาคารเรียนเพื่อกลับบ้านของตนเองแต่สายตากลับไปสะดุดอยู่ที่ลานน้ำตื้นในสวนของโรงเรียนซึ่งมีรูปปั้นปลาวาฬพ่นน้ำอยู่ตลอดเวลา ในลานนั้นมีร่างของใครบางคนกำลังปัดน้ำเพื่อหาอะไรบางอย่าง สตีฟขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูให้ชัดๆ ว่าเป็นคนที่เขากำลังนึกถึงอยู่หรือเปล่า และเมื่อเห็นเต็มสองตาชัดๆ เขาก็ถึงกับแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้

“เฮ้” สตีฟเอ่ยทักคนในลานน้ำพุ “เฮ้?”

“…”

โทนี่ไม่ได้ตอบอะไรเขาแต่ยังคงปัดน้ำที่คงเย็นมากเพราะอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหิมะตก มือของคนตัวเล็กเริ่มขาวซีดแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ล้มเลิกเป้าหมายของตัวเอง

“นี่ ขึ้นมาเถอะน่า เริ่มหนาวแล้วนะ”

“…”

สตีฟเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเลิกหาของ แถมยังใส่เเค่เสื้อเชิ้ดของโรงเรียนตัวบางๆ อีกต่างหาก กางเกงก็ถกขึ้นสูงเหนือเข่ากันเปียกน้ำ แถมหิมะยังตกลงมาไม่หยุด และมีท่าทีว่าอากาศจะหนาวมากกว่าตอนนี้ขึ้นเรื่อยๆ

“ไว้ค่อยมาหาใหม่พรุ่งนี้ก็ได้นี่”

“…”

โทนี่ไม่ได้ตอบอะไรสตีฟกลับไปและยังคงหมกมุ่นกับการหาของเช่นเดิม สตีฟถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขามองคนตัวเล็กอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็เดินกลับไปไม่ได้สนใจอะไรอีกเลย คนตาคมรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ ที่คนตัวเล็กไม่ฟังคำของเขาและยังไม่ตอบเขาอีกต่างหาก

 

โทนี่ยังคงหาของของตัวเองต่อไปทั้งที่เริ่มรู้สึกหนาวแล้ว เขาเดินวนอยู่ในลานน้ำพุนี้ครบรอบเป็นรอบที่ร้อยกว่าแล้วได้มั้งแต่ก็ยังไม่เจอกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง ความเครียดเริ่มทำให้คนตัวเล็กกดดันและกลายเป็นว่าเริ่มท้อ ความโกรธที่สั่งสมเอาไว้เพราะทำอะไรไม่ได้มันไปกดเปิดสวิตซ์น้ำตาให้เริ่มไหลลงมา คนตัวเล็กปัดน้ำในลานน้ำพุไปมาแรงๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนน้ำเย็นเฉียบแล้วกอดตัวเองปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ เพราะความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา

เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตัวเองที่ต้องมาเป็นตัวตลกของคนอื่น มาเป็นตัวอะไรไม่รู้ให้คนอื่นเอาความรู้สึกของเขาไปเล่นเป็นเรื่องสนุก ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะไม่ต้องเจอประสบการณ์แบบนี้อีก

“เฮ้ นั่งอยู่บนน้ำแบบนั้นไม่หนาวเหรอไง”

“…”

โทนี่สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย เขารีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดแล้วลุกขึ้นยืน พยายามเก็บอาการของตัวเองไม่ให้คนด้านหลังรู้

“เฮ้อ ฉันล่ะเชื่อนายเลยจริงๆ ถ้าหาที่นี่ไม่เจอแสดงว่ามันอยู่ที่อื่นไม่ใช่เหรอไง? แล้วอีกอย่างกลับบ้านดึกแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ?”

“…”

“จะเล่นเป็นคนใบ้อีกนานมั๊ย!!!”

ด้วยความโมโหสตีฟเลยคว้าเอาต้นแขนของโทนี่แล้วออกแรงกระชากตัวอีกคนให้หันมาหาเขา แต่เพราะแรงที่ต่างกันทำให้ตัวของโทนี่ปลิวมาซบอกเขาเต็มแรง โทนี่พยายามขัดขืนแล้วสะบัดท่อนแขนของตัวเองออกจากมือของเขาแถมยังถอยห่างไปยืนก้มหน้าไกลจากตัวคนสูงกว่าพอสมควร

“มันจะอะไรกันนักกันหนากับแค่ของพวกนั้นหาย ซื้อใหม่ก็สิ้นเรื่อง”

“เป็นนายก็พูดได้สิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบฉันหนิ!”

สุดท้ายโทนี่ก็ตอบกลับพร้อมเงยหน้าขึ้นมองคนฟัง เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ม่านน้ำตาให้หายไป สองมือกำหมัดแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ระเบิดมากไปกว่านี้

“นายไม่ใช่คนโดนกระทำหนินายจะไปรู้ได้ยังไงว่าคนโดนกระทำเขารู้สึกยังไง การเป็นตัวตลกให้คนอื่นเหยียบย่ำความรู้สึกมันไม่เคยตลกเลยนะ!!”

“…”

“ถ้าคิดจะมาพูดอะไรง่ายๆ แบบนี้ก็กลับไปเถอะ ปล่อยฉันไว้แบบนี้แหละเดี๋ยวฉันหาเจอแล้วจะกลับไปเอง”

โทนี่พูดจบก็ทำท่าจะกลับไปในลานน้ำตื้นอีกรอบแต่สตีฟกลับรั้งแขนอีกคนเอาไว้แล้วดึงให้เข้าไปใกล้เขา มือหนาหยิบเอาเสื้อโค้ทสีแดงของคนตัวเล็กที่เขาอุตส่าห์กลับไปเอาจากห้องเรียนมาให้มาคลุมหัวอีกคน โทนี่ถึงกับตาเบิกกว้างเมื่อเห็นอีกคนเอาเสื้อโค้ทของเขาเองมาคลุมตัวให้ ไม่นานความเงียบก็เกิดขึ้นและเกิดอยู่นานจนบรรยากาศเริ่มอึดอัดไปทั่ว

“ใส่เสื้อโค้ทก่อนเถอะ เดี๋ยวได้ป่วยตายก่อนหาของเจอหรอก”

“…”

“ให้ตายเถอะ มีปากไว้เป็นใบ้เหรอไง?”

“…ขอบคุณนะ”

โทนี่ตอบกลับสั้นๆ แล้วหยิบเอาเสื้อโค้ทบนหัวขึ้นมาสวมให้เข้าที่ เขาลืมไปเลยว่าตอนนี้มันหน้าหนาวแล้ว เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการหาของเลยไม่รู้สึกตัวเลยว่าร่างกายของเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบครึ่งคืน

“แล้วของอะไรหายบ้างล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยหา”

“หา!!!”

โทนี่ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินในสิ่งที่สตีฟพูด เขามองคนตัวสูงที่ถอดรองเท้าผ้าใบและถุงเท้าออกก่อนถกขากางเกงขึ้น โทนี่แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าคนอย่างสตีฟ โรเจอรส์จะออกปากช่วยคนอื่นก่อน

“ฉันถามว่าของอะไรหายบ้าง”

“กะ…ก็ของอื่นๆ ฉันเก็บขึ้นมาหมดแล้วล่ะ เหลือแต่กระเป๋าตังค์ไม่รู้มันหล่นไปอยู่ที่ตรงไหน”

สตีฟไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่เดินตรงไปยังลานน้ำตื้นแล้วหยิบเอาไอโฟนขึ้นเปิดแฟลชเพื่อส่องหากระเป๋าเงินของอีกฝ่าย เขาเดินลงในลานน้ำพุแล้วต้องสะดุ้งเพราะความหนาวของน้ำ จากนั้นก็เดินไปรอบๆ และพยายามส่องหากระเป๋าสตางค์ของอีกฝ่ายจนทั่วทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไม่เจอ คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเดินกลับไปหาคนตัวเล็กอีกครั้งเพื่อให้ล้มเลิกความตั้งใจ แต่กลับต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างโทนี่ล้มไปนอนสลบกองอยู่บนพื้นที่เริ่มมีหิมะทับถมกัน

“สตาร์ค!!!”

 

โทนี่ค่อยๆ ปรือตาขึ้นเมื่อสติเริ่มกลับมา เขาใช้ปากหายใจจนเห็นควันขาวออกมาเพราะความหนาวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลกำลังเพ่งมองใบหน้าคนตัวสูงที่อยู่ใกล้จนแทบลืมหายใจ

ทำไมอยู่ใกล้จัง…

หัวใจดวงน้อยในอกเต้นไหวไม่เป็นจังหวะ โทนี่หลับตาลงแล้วลองลืมขึ้นมาใหม่ก่อนจะตกใจสุดขีดเมื่อเห็นคนตัวสูงใหญ่กำลังอุ้มเขาเดินอยู่ตามทางเท้า โทนี่พยายามดิ้นให้ตัวเองหลุดจากอ้อมแขนแกร่งทั้งที่ปวดหัวแทบระเบิด

“ดิ้นทำบ้าไรเนี่ย เดี๋ยวก็ตกหรอก”

“ละ..แล้วนายมาอุ้มฉันทำไม”

โทนี่ทำท่าทีกระชับแว่นแล้วตะเบ็งเสียงใส่อีกฝ่ายกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเอง เขาหลบตาสตีฟแล้วพยายามหาช่องทางหนีไปจากอ้มแขนนี้แต่ความรู้สึกปวดตึบๆ ที่หัวมันทำเขาไม่มีแรงจะขัดขืน

“ฉันจะพานายไปส่งที่บ้านแล้วเห็นนายสลบไปเลยต้องอุ้มพาไปส่ง”

“ฉันเดินเองได้” โทนี่ว่าแล้วแยกเขี้ยวใส่คนตัวใหญ่แต่อีกฝ่ายกลับมองด้วยสายตาเหยียดๆ “มองอะไร”

“มองคนปากดีไง ก็ได้ถ้านายไหวนายก็กลับเองละกัน”

สตีฟพูดจบก็โยนโทนี่ลงไปกองกับพื้น อีกคนโวยวายแล้วรีบลุกขึ้นจะเอาเรื่องคนกระทำแต่กลับรู้สึกโลกหมุนเร็วจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ โทนี่ล้มไปนอนกองกับพื้นเหมือนคนเมา คนตัวเล็กแยกเขี้ยวขู่คนตัวใหญ่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะอันดังของอีกคน ก่อนจะรีบพยุงตัวให้ลุกขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวหนีคนด้านหลังไปโดยไม่หันไปสนใจอีก เขาเดินเซไปเซมาแล้วสุดท้ายก็เดินต่อได้ไม่กี่ก้าวร่างกายก็ทรุดลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นหิมะ

“เห็นมั๊ยล่ะ”

“…”

สตีฟพูดแขวะตามหลังแล้วผิวปากเยาะ โทนี่เพียงแค่หันไปมองก่อนจะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าล้มลงไปกองกับพื้นหิมะทุกที

“จะดื้อไปทำไมกันนะ” สตีฟว่าแล้วเดินมาจับอีกคนให้ลุกขึ้นยืน “ให้ฉันไปส่งแต่แรกก็จบ”

“ฉันไม่อยากขอความช่วยเหลือใคร แล้วอีกอย่างโดยเฉพาะคนแบบนาย ฉันไม่ต้องการเลยสักนิด”

“เขินที่โดนอุ้มแบบนั้นเหรอไง?”

“…” โทนี่เงียบเมื่อเห็นอีกคนรู้ทัน เขารีบแก้ตัว “อายต่างหากที่มีคนมาอุ้ม ถ้าฉันอุ้มนายแบบนั้นบ้างนายจะอายมั๊ยล่ะ!!”

โทนี่พยายามดึงแขนของตัวเองออกแต่สุดท้ายก็สู้แรง(ควาย)ของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี คนหน้าหนวดเริ่มหายใจแรงและหนักขึ้นเพราะอาการไข้ที่เริ่มถาโถมเข้ามา ร่างกายแทบยืนไม่อยู่และดวงตาก็ปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่

“จะตายอยู่แล้วยังมาทำเก่งอีก ฉันไม่พานายไปขายหรอกน่า ขายไปก็ได้ไม่กี่ตังค์หรอก”

“นั่นปากคนหรือปากบีเกิล” โทนี่ถามกลับและมองตามคนตัวสูงที่มาหยุดยืนหันหลังอยู่หน้าตัวเอง “จะทำอะไร”

“ขี่หลังฉันสิ เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน”

สตีฟเอ่ยแล้วย่อตัวลงไปนั่งยองๆ เขาเหลือบมองโทนี่ที่ลังเลเล็กน้อยก่อนยอมขึ้นขี่หลังเขาแล้วซบใบหน้าร้อนๆ ลงกับแผ่นหลัง เสียงลมหายใจของอีกคนหนักขึ้นจนได้ยินชัดอยู่ข้างหู แถมมันยังร้อนจนทำสตีฟเริ่มใจคอไม่ดี

“ทำไมถึงมาช่วยฉันล่ะ เมื่อเช้ายังเห็นแกล้งอยู่เลย”

“ก็ไม่รู้สิ สงสารมั้ง”

สตีฟเอ่ยตอบแล้วกระชับอ้อมแขนเพื่อกันอีกคนตก เขาก้าวเดินไปเรื่อยๆ พลางคิดถึงคำถามที่อีกคนถามเขาเมื่อครู่ไปมา ก่อนจะหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นจากคนด้านหลัง สตีฟยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหัวแล้วรีบพาอีกคนกลับบ้านตามทางที่โทรถามครูประจำชั้นมาเมื่อสักครู่

ก็นั่นสินะ ทำไมถึงได้คิดไปช่วยเจ้านี่กันนะ

 

END(?)

มั้ง 5555555

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ xD

ตอนต่อ – First Snow [2]

[AU: SteveTony] Destiny

Title :: Destiny

Author :: SaRa_PAO

Pairing:: Steve x Tony

Rating :: PG

Note :: ไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่ 55555

___________________________________________

.. พรหมลิขิตขีดเส้นให้คนสองคนมาพบกัน ..

.. ด้ายแดงแห่งรักผูกใจของสองคนให้เคียงคู่ ..

.. ปาฏิหาริย์คือตัวกลางที่นำคนสองคนมาร่วมทาง ..

ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าปาฏิหาริย์,พรหมลิขิต,กามเทพมีอยู่จริง เหตุผลหลักๆ ก็คือผมไม่เคยเจอกับตัวเลยสักครั้งเลยไม่ปักใจเชื่อว่ามันมีอยู่จริง ต่างจากรูมเมทของผมสตีฟ โรเจอรส์ที่เชื่อเป็นตุเป็นตะว่าบนโลกใบนี้มีใครสักคนเกิดมาเพื่อคู่กับเขา

ผมชื่อ โทนี่ สตาร์ค เป็นลูกของผอ.โรงเรียนAvengers โรงเรียนชื่อดังของประเทศอเมริกาที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากเข้ามาหาความรู้ที่นี่ ยกเว้นผมน่ะนะ…ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนของครูหลายคนมากก็เลยโดดเรียนไปทำแล็ปอยู่บ่อยๆ เลยทำให้โดนผอ.(พ่อของผม)เรียกตัวไปตักเตือนเป็นประจำ ด้วยความรำคาญที่ต้องกลับไปเจอกับเขาที่บ้านผมก็เลยขออยู่หอของโรงเรียนมันซะเลย

หอของผมเป็นหอผู้ชายมีทั้งหมดร้อยยี่สิบห้องโดยแต่ละห้องมีห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนั่งเล่นเป็นส่วนตัวคล้ายกับคอนโดฯหรูๆ ใจกลางเมืองนั่นแหละ เพราะความที่เข้ามาอยู่ปุบปับของผมห้องที่ว่างอยู่ก็มีแต่ห้องของสตีฟที่อายุมากกว่าผมสองสามปีได้ แต่เพราะผมฉลาดล้ำเด็กในวัยเดียวกันก็เลยโดดข้ามชั้นมาเรียนเอาเกรดสุดท้ายของไฮสคูล

อ้อ ผมลืมบอกไป โรงเรียนAvengersจะรับแต่นักเรียนที่เป็นหัวกะทิและมีคะแนนทักษะในด้านต่างๆ ติดอันดับTop5เท่านั้น เพื่อพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อต่อยอดไปถึงมหาวิทยาลัย แต่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกนะ คิดแต่ว่าสนใจแค่วิทยาศาสตร์ก็เลยมุ่งไปแต่เรื่องทดลองจนไม่รู้เลยว่าผลงานที่สร้างมั่วๆ ของตัวเองจะมีประโยชน์กับใครหลายคน แต่ก็ช่างมันเถอะ…

ผมพูดเกริ่นไว้เรื่องอะไรนะ? อ่อ…เรื่องที่ผมไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาตินั่นสินะ งั้นต่อเลยละกัน

เรื่องมันเริ่มขึ้นมาจากภาพวาดคิวปิดยิงลูกศรไปยังชายสองคนของสตีฟที่เขาภูมิใจมากจนเอามาอวดและพยายามอธิบายเรื่องความรักและความหมายของภาพให้ผมฟัง ผมเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะรู้สึกเบื่อกับคำพูดหวานเลี่ยนชวนอ้วกแบบนั้น ก็คนมันไม่ชอบเรื่องแนวนี้นี่หว่า

แต่ก็นะ…ผมก็ทำได้แค่ขัดแย้งคำพูดของรูมเมทผมในใจเท่านั้นเพราะไม่อยากให้คำพูดของตัวผมไปทำลายความตั้งใจของสตีฟ และผม…ก็ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ของเราด้วย

“โทนี่ เฮ้” สตีฟเรียกผมที่นั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีครามบนดาดฟ้าของโรงเรียน “ได้ยินที่ฉันเรียกมั๊ยเนี่ย”

ไม่ได้ยิน ก็อยากจะตอบแบบนี้นะแต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ไปกวนเขาเท่าไหร่ “ได้ยิน”

“วันนี้วันฮัลโลวีน ไปฉลองกันมั๊ย”

“ฉลองที่ไหน”

“โถงกลางของโรงเรียน เห็นรองผอ.ฟิวรี่จัดให้พวกเด็กหอโดยเฉพาะน่ะ”

สตีฟเดินมานั่งลงข้างผมแล้วหันมาส่งยิ้มกว้างให้ ผมมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป พวกเราสองคนเงียบอยู่นานจนบรรยากาศเริ่มอึดอัด และเหมือนสตีฟจะเริ่มทนไม่ได้ก็เลยเป็นฝ่ายพูดก่อน

“นายจะไปมั๊ย?” สตีฟชะโงกหน้ามายบังวิวของผมซึ่งมันทำผมผงะเพราะความตกใจ “ว่าไงล่ะ?”

“ไม่รู้” พอตั้งสติได้ผมก็ตอบไปสั้นๆ เหมือนเช่นเคยและมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอ่อนของสตีฟที่มักจะอ่อนโยนเสมอ ใบหน้าของอีกคนดูผิดหวังเล็กน้อยผิดไปจากปกติที่มักจะสดใสอยู่ตลอดเวลาอยู่กับผม เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วผละหน้าออกไป

“น่าเสียดายแย่” เขาว่าน้ำเสียงเสียดาย “ฉันกะจะให้เพ๊พมาเต้นรำคู่กับนายซะหน่อย”

“…”

“เฮ้อ…แล้วแบบนี้ชารอนจะยอมมาเต้นรำคู่กับฉันมั๊ยเนี่ย”

ผมชะงักไปชั่วครู่ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนโดนมดกัดมันแทรกผ่านเข้ามาในใจของผม ผมรู้สึกไม่ชอบใจที่สตีฟพูดถึงคนอื่นตอนอยู่ด้วยกัน คือ…จะว่าไงดีผมไม่ชอบให้สตีฟพูดถึงชารอน คาร์เตอร์ พูดแบบนี้น่าจะตรงประเด็นมากกว่า

มีข่าวลือว่าสตีฟกับชารอนกำลังคบกันอยู่ซึ่งดูแล้วก็คงจะเป็นแบบนั้นเพราะสตีฟมักจะตัวติดอยู่กับชารอนแทบจะทุกเวลา ก็นะ…เขาเรียนห้องเดียวกันนี่ ส่วนผมเรียนกันคนละตึกกับเขาเลยก็ว่าได้ แต่….ช่างมันเถอะ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันไม่ไปงาน” ผมถามแต่สตีฟกลับหัวเราะคิกคักแทน “หัวเราะอะไร?”

“ก็ถ้านายไม่ไปงานนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิ ชารอนเขาบอกมาน่ะ”

พักนี้ผมสังเกตว่าสตีฟตามติดตัวผมแจไม่ว่าจะทำอะไร(ถ้าไม่นับเรื่องเรียน) เขาชอบมาชวนผมไปกินข้าวด้วยกัน กลับหอด้วยกัน ถ้าเขาไม่มีซ้อมอเมริกันฟุตบอลเขาก็จะมาหาผมที่ห้องแล็ปจนบรูซเพื่อนสนิทผมชอบแซวบ่อยๆ ว่าเราเหมือนแฟนกันเลย ผมได้แต่เถียงกับข้อเท็จจริงนี้แล้วก็ทำเป็นโมโหอยู่ทุกทีทั้งที่ความจริงในใจก็แอบหวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

“โทนี่ พรุ่งนี้แล้วนะที่จะมีงานฮัลโลวีนน่ะ”

“ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำทุกครึ่งชั่วโมงหรอก”

ผมตอบอย่างหัวเสียแล้วคว้าเอาแก้วบิ๊กเกอร์ซึ่งเพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อครู่มาเก็บในตู้เก็บของ ผมจัดวางของไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกวูบวาบที่หลังเหมือนโดนมองตลอดเวลาซึ่งแน่นอนว่ามีคนเดียวในช่วงนี้ที่จะมองผม

“เลิกมองกันตลอดเวลาแบบนี้ได้มั๊ย?”

“ทำไม โทนี่ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ชอบ”

ผมตอบไปตามนิสัยปากแข็งของตัวเองก่อนจะชะงักเมื่อคิดได้ ผมเหลือบสายตาไปมองคนด้านหลังที่นั่งยิ้มบางๆ แต่ยังไม่เลิกมองผมเสียที ความรู้สึกผิดและกลัวนิดๆ แล่นขึ้นมาจุกอก ผมหยุดเก็บข้าวของการทดลองใส่ตู้แล้วปิดบานประตูของตู้ซะก่อนเดินไปยังตู้อีกฝั่งซึ่งอยู่ด้านหลังสตีฟ

“โทนี่…เย็นชาตลอดเวลาเลยนะ”

“…”

“ทำแบบนี้บ่อยๆ ระวังมีแต่คนเข้าใจผิดนะ”

“แล้วทำไมฉันต้องสนใจคนอื่นด้วยว่าจะมองฉันยังไง”

“…แต่โทนี่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

ผมไม่ค่อยพอใจในคำพูดของรูมเมทเลยหันไปมองหลังอีกฝ่ายพูดจบแต่ก็ต้องชะงักอ้าปากค้างเมื่อคนตัวสูงเดินมาซ้อนด้านหลังผมแล้วกอดเอวของผมเอาไว้แน่น

“เฮ้ย! นายจะทำอะไร?”

“ถ้าโทนี่เย็นชาแบบนี้จะไม่มีใครเข้ามายุ่งกับโทนี่แล้วคนที่อยู่ข้างๆ โทนี่ตลอดเวลาก็จะได้มีแค่ฉัน”

“ห๊ะ? อะไรของนาย เมาแอร์ในห้องเหรอ?”

ผมถามแล้วพยายามขืนตัวเองออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของนักกีฬาโรงเรียนแต่อีกฝ่ายกลับรัดตัวผมแน่นขึ้นจนตอนนี้ใบหน้าเราทั้งคู่อยู่ใกล้กัน เฮ้ย!! อะไรของมันวะเนี่ย

“จะทำอะไรน่ะสตีฟ ปล่อยฉันนะ!”

“โทนี่รู้หรือเปล่าว่าที่สระน้ำพุด้านหน้าโถงกลางโรงเรียนมีตำนานเล่าด้วยนะ”

“ปล่อยฉันนะสตีฟ” ผมเริ่มขึ้นเสียงแต่อีกฝ่ายกลับใช้ดวงตาอ่อนโยนนั่นสยบการกระทำของผมลงทำให้ผมยอมอยู่เฉยๆ เพราะไม่เคยสู้สายตาสีฟ้านี้ได้เลยสักครั้ง

“เขาบอกว่าถ้าเราไปยืนหลับตาแล้วนึกถึงคนที่เราแอบชอบคนๆ นั้นจะมาปรากฏตัวตรงหน้าของเรา”

“ไร้สาระ” ผมว่าแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “นายคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเชื่อถือได้หรือไง?”

“อย่างน้อยก็มีคนทำสำเร็จไปแล้วหลายคน ความน่าจะเป็นแบบนี้เชื่อได้หรือเปล่าล่ะ”

“ก็แค่ความน่าจะเป็น” ผมกลอกตา “ฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้หรอก”

“ลองดูสิ พรุ่งนี้ลองไปยืนอยู่ตรงหน้าน้ำพุแล้วนึกถึงคนที่นายชอบดู”

สตีฟว่าแล้วคลายอ้อมกอดออกก่อนดันไหล่ผมให้ชิดกับตู้อย่างแรงจนได้ยินเสียงกระแทก ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแล้วเบิกตาขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรสตีฟก็พุ่งหน้าเข้ามาหาผมอย่างเร็วหากแต่ผมกลับหันหน้าหลบและดันอกเขาไว้ได้ทัน ผมหลับตาปี๋และลมหายใจกระตุกวูบทว่าเจ้าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกลับเต้นเร็วผิดปกติ

อะ อะไรวะเนี่ย…

“จะทำบ้าอะไรวะ!” ผมตะโกนใส่หน้าสตีฟหลังจากจิตใจเริ่มสงบลงแล้ว “ถอยออกไปจากตัวของฉัน!”

สตีฟเงียบไม่ได้ตอบคำถามผมซึ่งผมเองก็ไม่ได้หวังคำตอบจากปากของเขาอยู่แล้ว ผมรู้สึกไม่ชอบใจเลยที่เขามาทำอะไรแบบนี้ใส่ทั้งที่ในใจของเขาเองก็มีชารอน คาร์เตอร์อยู่แล้วทั้งคน ผมมองเข้าไปในดวงตาของคนตัวใหญ่และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ผละสายตาออกไปจากดวงตาของผมเช่นกัน

“ฉันอยากให้โทนี่ไปนะ งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้น่ะ”

“ฉันจะไม่ไปไหรทั้งนั้นนอกจากห้องแล็ป!”

“เคยบอกไปแล้วหนิว่าถ้านายไม่มางานนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร”

“เชิญนายไปสวีทหวานเต้นรำกับแฟนของนายเถอะ ส่วนฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง แล้วทีหลังอย่ามาทำแบบนี้กับฉันอีกฉันไม่ใช่แฟนของนายนะ!”

“โทนี่ไม่ชอบเหรอ?” สตีฟถามเสียงอ่อยแล้วคลายมือตรงไหล่ผมออกนิดหน่อย “แต่ฉันชะ…”

“ฉันเกลียดการกระทำล่วงเกินแบบนี้ที่สุด”

ผมพูดเสียงต่ำดักคำพูดอีกฝ่ายที่กำลังจะบอกออกมา หัวใจของผมไม่อยากรับรู้ว่าอีกคนจะพูดอะไรและไม่อยากให้ความหวังตัวเองไปมากกว่านี้ สตีฟปล่อยมือออกจากไหล่ของผมแล้วถอยออกไปยืนห่างจากตัวของผมมากจนดูเหมือนเราเป็นแค่คนไม่รู้จักกัน

“ถ้าโทนี่เกลียด ฉันจะไม่ทำอีก”

“…รู้ตัวก็ดีแล้ว” ผมก้มหน้าลงแล้วพูดออกไปเสียงเบา “พรุ่งนี้ขอให้สนุกกับงานนะ คืนนี้ไม่ต้องรอฉันกลับไปห้อง ฉันจะอยู่ที่แล็ปทั้งคืน”

“อืม”

ผมนั่งเฉาอยู่ในห้องแล็ปเพราะแม้แต่บรูซก็ยังไปงานเลี้ยงบ้าบอนั่นทั้งที่อีกฝ่ายยังทำวิจัยและทดลองงานตัวเองยังไม่เสร็จ ผมนั่งท้าวคางถอนหายใจอยู่หลายรอบแล้วตัดสินใจจะลองไปดูหน้างานหน่อยแล้วกันว่ามันมีดีอะไรคนถึงอยากได้ไปเข้าร่วมนัก

ไม่นานผมก็เดินจากห้องแล็ปมาถึงหน้าสระน้ำพุหน้าโถงกลางของโรงเรียน วันนี้ฟ้าปิดมันเลยมืดมากกว่าปกติแต่เพราะสระน้ำพุประดับไปด้วยไฟหลากสีและหัวฟักทองมันเลยพอส่องแสงให้เห็นทางอยู่บ้าง ผมชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวโถงแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยตัดสินใจจะกลับไปยังห้องแล็ปแต่คำพูดเมื่อวานของใครบางคนมันรั้งขาทั้งสองข้างเอาไว้

‘เขาบอกว่าถ้าเราไปยืนหลับตาแล้วนึกถึงคนที่เราแอบชอบคนๆ นั้นจะมาปรากฏตัวตรงหน้าของเรา’

ผม…ไม่ได้เชื่อหรอกนะ

แต่…ผมเองก็อยากเจอสตีฟตลอดเวลาเหมือนทุกที

เพราะตั้งแต่เมื่อวานเราสองคนยังไม่เจอกันเลย พอเป็นแบบนี้ผมเลยเซ็งมาทั้งวันตั้งแต่เมื่อคืนวานจนกระทั่งตอนนี้ ผม…อยากเจอสตีฟ

จะลองดูดีมั๊ย?

หรือจะกลับไปดี?

ผมโต้เถียงตัวเองอยู่ในใจและสุดท้ายความคิดถึงสตีฟมันก็ชนะทุกสิ่งจนผมต้องถอนหายใจออกมาดังๆ ผมหันกลับไปมองสระน้ำพุอีกครั้งแล้วหลบตาลงยกมือขึ้นกุมแนบอก ในหัวเอาแต่นึกถึงใบหน้าของสตีฟและหัวใจของผมก็เรียกแต่ชื่อของเขา

เมื่อรู้สึกว่าตั้งนานแล้วไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นผมก็เลยลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาปรับสายตาสักพักแล้วตั้งใจมอง แต่เบื้องหน้าของผมก็ไม่เห็นพบใครหรือแม้แต่แมลงสักตัว ผมยืนผิดหวังอยู่อย่างนั้นนานทีเดียวแล้วก้มหน้าลงมองพื้นก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง

ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ นั้นแหละ…

หมับ!

ผมสะดุ้งเมื่อตัวโดนดึงเข้าไปกอดจนหน้ากระแทกเข้ากับอกของใครบางคน ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นเพราะสติหลุดแต่พอมันกลับมาผมก็เริ่มดิ้นแล้วเงยหน้ามองผู้ร้ายจอมฉวยโอกาสแต่พอเห็นว่าเป็นใครสมองของผมก็ขาวโพลนไปหมด

“สะ…สตีฟ”

“…”

เฮ้ย…เรื่องจริงเหรอเนี่ย!?!

“ฉันขอโทษนะเรื่องเมื่อวานน่ะ โทนี่หายโกรธฉันให้อภัยฉันเถอะนะ ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

“…เฮ้ย ปล่อยก่อนสิ”

ผมดิ้นแต่สตีฟกลับรัดตัวผมแน่นขึ้นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่ของผม เขากระชับอ้อมแขนของตัวเองจนตัวของผมแทบโดนเขากลืนเข้าไปในร่างตัวเอง ผมรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

“ฉันคิดถึงโทนี่นะ” สตีฟว่า “แล้วก็กลัวโทนี่จะเกลียดฉันจนเรากลายเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน”

“…ฉันเองก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นกับนายเหมือนกัน”

“…”

“ฉัน…ฉันก็คิดถึงนาย” ผมกอดตอบสตีฟแล้วฝังหน้าลงกับอกของอีกฝ่าย “ฉันเองก็อยากเจอนายเช่นกัน แต่ฉันไม่รู้จะไปเจอนายในฐานะไหนดี ฉัน…คงทนไม่ได้ที่ต้องมองหน้านายแล้วมีแต่เหตุการณ์เมื่อวานลอยเข้ามาอยู่เต็มหัว”

“…”

“ฉันคงทนไม่ได้ถ้าหากว่าต้องเห็นนายไปอยู่เคียงข้างใครคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ฉันทนให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้”

“ฉันเองก็ทนไม่ได้เช่นกันถ้าหากข้างกายฉันจะไม่มีโทนี่อีกต่อไป”

“แต่นายกำลังคบอยู่กับชารอน”

“ข่าวลือน่ะ ฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาเองเพื่อให้คนแถวนี้หึงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดตามที่ฉันหวังไว้”

“…”

“ฉันชอบโทนี่นะ แล้วก็ไม่ได้อยากคบกับใครเลยนอกจากโทนี่ แต่เพราะโทนี่เอาแต่เย็นชาใส่ฉันตลอดฉันเลยไม่รู้ว่าจะมองยังไงว่าโทนี่มีใจให้ฉันด้วยหรือเปล่า”

ผมเงียบให้กับคำพูดของสตีฟแล้วผลักอีกคนออกมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ อีกคนเพียงแค่หัวเราะแหะๆ แล้วยิ้มเจื่อนซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจในคำพูดของเขาเท่าไหร่นัก

“นายหมายความว่ายังไง?”

“เข้าไปในงานกันเถอะ” สตีฟไม่ได้ตอบแต่สั่งผมและจับมือผมพาเข้าไปในโถงกลาง ผมพยายามตื๊อถามเขาแต่เขากลับหัวเราะแล้วเฉไฉพูดเรื่องอื่นกลับมาเป็นสตีฟคนก่อนที่เอาแต่พูดมากเหมือนเดิม

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร ผมก็เลยไม่ได้สนใจคิดจะถามอีก คิดแค่ว่าให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว

ขอแค่เรากลับมาเป็นเหมือนก่อน มีกันและกันอยู่เคียงข้างตลอดเวลาแบบนี้เช่นเคย แบบนี้มันก็พอใจแล้ว

ถึงแม้ผมจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างปาฏิหาริย์ แต่ผมเชื่อในตำนานของน้ำพุหน้าโถงกลางล่ะ

จบ

01/11/2014

แงงง เล่นเว็บนี้ไม่เป็น 5555 แบบว่าอยากแต่งก็แต่งเลยลงเลย

เนื้อเรื่องอะไรไม่รู้ดูไม่มีแก่นสาร ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

ปล.แต่งร่วมสนุกกิจกรรมของ@Marvel_weeklyค่ะ