[Henry C. x Ben A.] Destiny

Title: Destiny

Pairing: Henry C. x Ben A.

Author: SaRa_PAO

Genre: ABO verse

Rate: R-18

Note: รีเควสต์โดยคุณ Meen ค่ะ ขอบคุณที่มาร่วมสนุกกันนะคะ ❤

rybenficpic

 

เรื่องมันเริ่มต้นที่ตรงไหนเฮนรี่เองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน อาจจะเป็นตั้งแต่ก่อนเขาเกิดล่ะมั้ง

โลกใบนี้มีไม่ได้มีแค่เพศเดียว แต่ยังมีเพศที่สองซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทอยู่ด้วย อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า

สมัยก่อนอัลฟ่าคือผู้นำชั้นสูงที่มีพละกำลังและอำนาจมากมาย ขีดเส้นใต้เน้นๆ ตรงคำว่าอำนาจมากมายเอาไว้ เป็นชนชั้นซึ่งอยู่เหนือสุดและมีหน้าที่ปกครองกับปกป้องเหล่าเบต้าและโอเมก้า ทว่าวันหนึ่งเมื่อความอดทนที่ถูกกดขี่มานานของเหล่าโอเมก้าและเบต้าบางส่วนสิ้นสุดลง การประท้วงก็เกิดขึ้นไปทั่วทุกที่ ตามมาด้วยการรบราฆ่าฟัน สงครามแย่งเก้าอี้กษัตริย์ ส่วนตอนจบ เหล่าโอเมก้ายึดอำนาจได้สำเร็จและตีตราให้พวกอัลฟ่าเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยซึ่งทำได้แค่รอคอยการปกป้องเท่านั้น

สรุปก็คือ ฐานอำนาจของโอเมก้าและอัลฟ่าสลับกันแล้ว

เฮนรี่ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์จริงๆ เป็นยังไง เขารู้มาจากคำบอกเล่าและหนังสือประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านที่หอสมุดเก่ารกร้างใกล้กับโบสถ์ต้องห้ามเท่านั้น สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจและคิดว่ามันเป็นจริงแน่ๆ ก็คืออัลฟ่าเป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งต้องดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ

ชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปนอกกรงขังขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งสร้างให้ใหญ่พอบรรจุนักโทษเป็นคนๆ ได้ ภายในโกดังเก็บทาสเพื่อถูกนำไปขายในวันรุ่งขึ้นจะว่ายังมีโชคดีอยู่ก็ว่าได้ เฮนรี่ได้กรงขังชั้นบนสุดซึ่งอยู่ใกล้กับกรงซี่ที่สามารถมองออกไปเห็นท้องฟ้า วิวข้างนอกช่างสวยงามกว่าในนี้นัก อย่างน้อยมันก็พอทำให้เขาเพ้อฝันถึงอิสรภาพและเติมเต็มจินตนาการในหัวให้ทนมีชีวิตรอดต่อ

แกร๊ง!

เสียงเหล็กกระทบกันเรียกความสนใจของเฮนรี่ให้หันกลับไปยังต้นเสียง ห้องเก็บทาสถูกปกคลุมไปด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลจากตะเกียง คนที่ถืออยู่คือเบต้ากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนายหน้าค้าทาสและลูกน้องของมัน แต่ข้างกายของชายถือตะเกียงกลับไม่ใช่เบต้า เป็นโอเมก้าซึ่งมีกลิ่นหอมหวานจนทำใจของเขาเต้นระรัว ได้ยินเสียงตึกตักดังก้องอยู่ในหัว ร่างกายเกิดปฏิริยาบางอย่างซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร

ที่แน่ชัดรู้เพียงว่าเขาอยากกัดลำคอโอเมก้าคนนี้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

“นายท่านจะซื้ออัลฟ่าชั้นดีตัวไหนไป…”

“ชายที่อยู่ใกล้กับซี่กรงหน้าต่างตรงนั้น”

เสียงทุ้มก้องอย่างผู้มีอำนาจเอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดาย พร้อมสายตาที่มองมายังเฮนรี่มันทำเอาตัวของเขาร้อนวูบวาบไปหมด กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ แม้จะไม่เห็นใบหน้าและรูปร่างชัดเจนด้วยสองเหตุผลที่ว่าอยู่ไกลเกินระยะสายตา กับอีกฝ่ายสวมหมวกคลุมและชุดคลุมปกปิดตัวเอง แต่เขาก็มีปฏิกิริยาชัดเจนกว่าเมื่อครู่ เหงื่อเริ่มผุดซึมขึ้นบนหน้าผากและฝ่ามือ ภาพการร่วมเพศกับโอเมก้าปริศนาที่กำลังจะซื้อตัวเขาแวบไปมาอยู่ในหัว

เฮนรี่เกือบจะคำรามอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าส่วนหนึ่งของร่างกายมันยังเชื่อฟังคำสั่งอยู่ สติยังไม่จากเขาไปไหน และนี่ถือว่าดีมาก

“ชาย… โอ้ นายท่านตาถึงมากครับ บุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลคาวิลล์ที่เป็นแม่ทัพกองอัศวินเมื่อครั้นสงครามยึดอำนาจของเหล่าโอเมก้า” นายหน้าค้าทาสเกริ่นพลางมองไปยังเฮนรี่ “อนิจจาที่พ่อกลับต้องมาตาย บ้านก็ถูกยึด สุดท้ายแม่เลยเครียดจนเป็นบ้า หากว่าตอนนั้นผมไม่ผ่านทางไปและยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กนี่…”

นายหน้าค้าทาสหยุดพูดทันทีเมื่อเห็นโอเมก้ายกมือขึ้น

“เราอยากเห็นเขาชัดๆ พาลงมาให้ดูสินค้าที”

สินค้างั้นเหรอ เฮนรี่ฉุนกึกทันทีเมื่อได้ยินโอเมก้าเรียกอย่างนั้น โกรธเสียยิ่งกว่าตอนถูกนายหน้าค้าทาสเล่าประวัติมั่วๆ เสียอีก

แต่พูดยังไม่ทันจบดี ชายเบต้าร่างใหญ่กว่าเขาสองคนก็เดินมายังกรงและไขกุญแจเพื่อพาเขาลงไปชั้นล่าง ทั้งสองคนจับโซ่ที่เชื่อมระหว่างตรวนสองข้างไว้แน่น แล้วลากให้เดินตามมันไปจนมาหยุดยืนเว้นระยะห่างกับโอเมก้าซึ่งกำลังตัดสินใจจะซื้อตัวเขา

อยู่ไกลๆ ก็ว่าหอมจนอยากจะกินทั้งตัวแล้ว พอได้เข้ามาใกล้ๆ กลับยิ่งรู้สึกชัดกว่าเดิม มันไม่ใช่ความหอมหวานชวนเลี่ยน แต่เป็นอะไรที่จะกระตุ้นทุกประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว โดยเฉพาะความหิวกระหายที่เขาพยายามกดมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด

ชายสองคนยังยืนอยู่ด้านหลังเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่คิดหนี

ไม่หรอก ยังไม่ใช่ตอนนี้

เฮนรี่มองโอเมก้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ เขามองกลับเข้าไปในแววตาสีโศกซึ่งเต็มไปด้วยความอ้างว้าง แม้จะอยู่ใต้หมวกคลุมแต่เขาก็เห็นมันได้ชัดเจนจนแวบหนึ่งอดสงสารชายผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้ แล้วพอตระหนักได้ว่าสถานภาพของตัวเองน่าเวทนากว่าชายผู้นี้มากนัก เขาก็นึกบ่นตัวเองในใจ

“เจ้าชื่ออะไร”

“คนขายเขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้เด็กเวรนี่!”

“ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าการอยู่ในที่แบบนี้เขาคงไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดีนัก”

เส้นข้างขมับของเฮนรี่กระตุกเมื่อโดนด่ากลับด้วยคำสุภาพ เขาจ้องเขม็งไปยังคนที่อมยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยถามประโยคเดิม

“เจ้าชื่ออะไร”

“เฮนรี่ คาวิลล์”

ไม่มีอะไรตอบกลับมา โอเมก้าแค่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น นิ้วเรียวยาวจับคางของเขาเชยขึ้น ขยับไปมาราวกับกำลังตรวจหาจุดบกพร่องของสินค้า และนี่มันทำเขาหัวเสียจนต้องสูดหายใจเข้าลึกอย่างอดกลั้น

“ช่วยอะไรเราสักอย่างได้หรือไม่” เฮนรี่ปรายตามองคนที่เขยิบมากระซิบข้างหู เขาครางเสียงต่ำตอบกลับในลำคอ “มาทำลูกกับเราที”

เฮนรี่ถึงกับสำลักน้ำลายจนไอโขลกๆ มองโอเมก้าที่ขยับตัวออกไปแล้วหันไปหานายหน้าค้าทาส ทั้งสองคุยอะไรกันสักอย่างแต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องค่าตัวของเขาแน่ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือคำพูดของชายแปลกหน้าคนนี้ ที่ว่าให้เขาไปทำลูกด้วยนั่นมันคำขอความช่วยเหลือแบบไหนกัน ไม่สิ ต้องถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะต่างหาก ทางเดียวที่จะรู้ได้คือการถามเค้นคำตอบจากคนชั้นสูงตรงหน้าเท่านั้น

“เราตัดสินใจเลือกอัลฟ่าผู้นี้”

“เจอคนที่ถูกใจก็ถือว่าดีแล้ว แต่ว่าลูกชายของตระกูลคาวิลล์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนใหญ่คนโตย่อมต้องแปลว่าถูกประคบประหงม เขาก็ไม่ได้มีรูปลักษณ์แย่ ผิวพรรณก็ดี ร่างกายกำยำสมส่วนเหมาะเป็นพ่อพันธุ์ ราคาที่ผมเคยเสนอไปเห็นทีคงจะต้องเพิ่มอีกเสียหน่อย”

เฮนรี่งงไปเลยว่านายหน้าค้าทาสมันกล้าเรียกร้องขอเงินเพิ่มได้ยังไง แม้แต่โอเมก้ายังประหลาดใจเกินกว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ เสียงหัวเราะของนายหน้าค้าทาสน่าขนลุกและชวนให้อยากโดดถีบสักที

“จากทองหนึ่งหีบข้าขอเป็นทองหนึ่งคันรถม้าแล้วกันครับ”

“นั่นมากเกินไป! อย่าไปตกลงนะ!”

เฮนรี่รีบท้วงทันที แต่โอเมก้าเพียงแค่ระบายลมหายใจออกมา มองนายหน้าค้าทาสหน้าเลือด

“เราเข้าใจแล้ว แต่วันนี้เรานำทองมาเพียงหีบหนึ่งเท่านั้น ท่านจะช่วยรับเป็นมัดจำก่อนได้หรือไม่ แล้วในรุ่งสางพรุ่งนี้ข้าจะรีบนำทองตามที่ท่านเสนอมาให้ทันที”

นายหน้าค้าทาสผู้โลภมากฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ พออยู่ภายใต้แสงไฟเรืองรองแล้วมันชวนให้เห็นเป็นสีหน้าของปีศาจโลภะเสียจริง

“เอ้า คุณชายเฮนรี่ ขอให้โชคดีมีชัยล่ะ”

ยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบอะไร เฮนรี่ก็ถูกผลักให้ไปหาโอเมก้า อีกฝ่ายมองเขาอยู่ชั่วครู่แล้วหันหลังเดินจากไป เขาเดินตามไปติดๆ โดยที่ยังมีตรวนพันธนาการสองข้อมือและสองข้อเท้า

 

โลกภายนอกมันช่างกว้างใหญ่เสียจนเฮนรี่เกือบลืมไปแล้ว แต่สายตาของเขากลับมองแผ่นหลังโอเมก้าที่เดินนำเงียบๆ พร้อมข้อสงสัย ไม่ได้ใส่ใจสำรวจทิวทัศน์มากมายอีกเลย

“ขอถามอะไรอย่างได้มั้ย” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา “เงียบนี่หมายความว่ายังไง ได้หรือไม่ได้”

ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับกลับมาอยู่ดี เฮนรี่สบถ เขาไม่รู้แล้วว่าอะไรแย่กว่ากันระหว่างอยู่ในร้านขายทาสอัลฟ่านั่นกับออกมาเดินตามหลังคนชอบเล่นบทคนใบ้แบบนี้

“ที่ว่าทำลูกกับคุณเนี่ยมันหมายความว่ายังไง”

โอเมก้าหยุดเท้าที่จะก้าวต่อแล้วหันกลับมาหา เฮนรี่หยุดตามด้วยความไม่ไว้ใจ แม้จะมั่นใจว่าตนมีพละกำลังมากพอล้มชายรูปร่างสมส่วนคนนี้ได้ในครั้งเดียวก็ตาม แต่อำนาจที่โอเมก้าผู้นี้มีมันกดให้เขารู้สึกหนักอึ้งในอกจนสัญชาตญาณส่งเสียงเตือนอยู่ไกลๆ

“ผมแค่… สงสัย”

“เราหมายความตามนั้น เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นโอเมก้า และเราต้องการมีลูก”

“คุณไปรับอุปการะก็ได้ หรือว่าหาอัลฟ่าที่เหมาะสมกว่าอัลฟ่าที่ถูกขายเป็นทาส”

“จริงอย่างที่ว่า เราพยายามเข้าหาบรรดาอัลฟ่ามากมายแล้วแต่ไม่มีใครถูกใจเป็นพิเศษ”

“แต่มาถูกใจผมแทนเนี่ยนะ?”

“บางครั้งเมื่อความหวังกำลังจะหมดสิ้น บางทีชีวิตก็ต้องเสี่ยงกับตัวเลือกสุดท้าย”

เฮนรี่พยักหน้ารับ แม้จะแอบขำเยาะเย้ยโอเมก้าคนนี้อยู่มากก็ตามที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วย ทำเอาอยากรู้ขึ้นมาเชียวว่าเหตุผลจริงๆ ที่ชายคนนี้ต้องจำใจยอมซื้อทาสไปเป็นพ่อของลูกมันคืออะไร

“แล้วคุณจะยอมจ่ายทองหนึ่งคันรถม้าตามที่พ่อค้าทาสขอจริงๆ เหรอ”

“เจ้ามีข้อกังขากับการตัดสินของเราหรือ”

“เปล่า ไม่ ก็ใช่ มันแค่อดตลกไม่ได้ที่คุณจะยอมแลกของมีค่ากับทาสคนหนึ่ง”

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” โอเมก้าตอบกลับ แค่คำพูดเดียวก็บาดลึกในใจของเฮนรี่จนทำเอาสะอึก เขาแทบไม่รู้สึกรู้สาอะไรตอนตัวเองเป็นคนพูด แต่พอได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาง่ายๆ แล้วมันทำเอาจุกไปหมด “เราคงไม่ยอมเสียทองมากมายขนาดนั้นให้กับเจ้าคนโลภนั่น เจ้าคิดหรือว่าคนอย่างเราจะยอมให้คนอย่างพ่อค้านั่นข่มขู่ได้หรือ”

“จะไปรู้เหรอ ผมไม่รู้จักคุณเสียหน่อย”

“อ่า นั่นสินะ” โอเมก้ายิ้มน้อยๆ แล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ “การจะต่อรองกับผู้มีอำนาจ สิ่งที่ทำไม่ใช่การยกตนข่มท่านว่าเราคือผู้อยู่เหนือกว่า แต่ต้องเป็นยื่นข้อเสนอที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมจำนน บนโลกใบนี้ไม่มีใครทำอะไรแล้วไม่หวังผลประโยชน์หรอก”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่มีอะไร แต่กลับเชือดเฉือนจนทำเอาพูดต่อไม่ออก เฮนรี่จึงเปลี่ยนประเด็น

“คุณชื่ออะไร”

“เบน แอฟเฟลค”

“เป็นใครกันแน่”

“เรื่องนั้น…อึก”

ยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยคดีเบนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป อีกฝ่ายยกมือขยุ้มชุดคลุมบริเวณอก มืออีกข้างดึงหมวกคลุมให้ปกปิดใบหน้ากว่าเดิม เฮนรี่อยากถามว่าอีกคนเป็นอะไรไป แต่พอได้กลิ่นหอมหวานฉุนจมูกที่แผ่ออกมาจากกายอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจโดยสัญชาตญาณ ร่างกายของเขาตื่นตัวไปทุกสัดส่วน ฟีโรโมนที่ลอยคลุ้งอยู่ทั่วอากาศบริเวณนี้กำลังมอมเขาให้มัวเมา

“เดี๋ยว ไม่ใช่…ตอนนี้ เฮนรี่”

“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเป็นตอนไหน”

“รอถึงวัง…”

เฮนรี่ไม่รอแล้ว เขาตรงไปคว้าสองแขนเล็กแล้วกระชากอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหาซากกำแพงอิฐซึ่งพังไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็สูงพอจะบังพวกเขาสองคน จากนั้นจึงยกมือขึ้นปิดปากเล็กที่ส่งเสียงอู้อี้ เขาใช้มืออีกข้างปลดผ้าคลุมของเบนออกโยนไปอีกทาง แล้วเอาตัวเข้าทาบทับคนที่ออกแรงดิ้นไม่หยุด

“คุณซื้อตัวผมมาทำลูกให้คุณไม่ใช่หรือไง” เขากระซิบถามข้างใบหูเล็ก แล้วขบกัดติ่งหูคนที่เอียงหน้าหลบทันที “ตัวคุณหอมมาก ผมได้กลิ่นตั้งแต่ตอนอยู่ในร้าน แต่มันเทียบอะไรกับตอนนี้ไม่ได้เลยเบน”

สองมือเล็กพยายามดึงมือของเขาที่ปิดปากออก แต่เฮนรี่ไม่ยอมให้คนด้านใต้ทำสำเร็จ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสติสัมปัชัญญะที่เคยมีหายไปไหนหมด ยิ่งได้เข้าใกล้ยิ่งได้สัมผัสชายตรงหน้าเขายิ่งรู้สึกต้องการมากขึ้น แทบจะไม่เหลือความเป็นตัวเองในกายอีกแล้ว เหมือนทุกอย่างถูกขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณดิบที่อยากได้รับการเติมเต็ม อีกทั้งยังรู้สึกอึดอัดกับส่วนกลางลำตัวด้วย

อัลฟ่าหนุ่มใช้มือขวาดึงกางเกงขายาวของโอเมก้าลงแล้วพยายามดันมือแยกสองขาเรียวออกจากกัน เขาสัมผัสได้ถึงน้ำหล่อลื่นที่ไหลลงมาตามต้นขาด้านใน ก่อนเลื่อนมันขึ้นแตะเบาๆ บริเวณช่องทางที่ทำคนด้านใต้สะดุ้งโหยงหลุดส่งเสียงกระเส่าออกมา

“ขอโทษนะ”

เฮนรี่กล่าวแล้วแทรกท่อนเนื้อแข็งขืนเข้าไปในช่องทางที่ขมิบรัดทันควัน เสียงประท้วงดังลอดฝ่ามือของเขาออกมา ส่วนเล็บทั้งสิบนิ้วของเบนก็จิกลงบนท่อนแขนของเขาอย่างแรง แต่เขาก็ยังฝืนดันตัวเข้าไปเมื่อความร้อนภายในมันชวนให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็น และกระตุ้นให้เขาต้องการมากขึ้นจนทนไม่ไหว

ความคับแน่นเริ่มเปลี่ยนเป็นความเจ็บ เบนไม่ยอมให้เฮนรี่ขยับตัวได้อย่างที่หวัง เขาครางต่ำอย่างขัดใจก่อนใช้มือทั้งสองข้างจับสะโพกมนไว้แน่น ค่อยๆ ดึงตัวเองออกช้าๆ เพียงครึ่งแล้วกดกลับเข้าไปใหม่ มองร่างเล็กสั่นระริกที่พยายามเกาะกำแพงอิฐทรงตัวให้อยู่ เขาได้ยินเสียงสะอื้น เสียงอ้อนวอน แต่พวกมันอยู่ไกลจนจับใจความไม่ได้ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้มีเพียงการเห็นตัวเองถูกช่องทางอ่อนนุ่มกลืนกิน

เมื่อเริ่มขยับได้คล่องตัวกว่าตอนแรก เฮนรี่ก็เพิ่มแรงตัวเองลงไป และเปลี่ยนจังหวะตามใจปรารถนา เขาเบียดท่อนความเป็นชายของตัวเองกับผนังร้อนระอุ ยัดเยียดความต้องการของตนให้คนด้านใต้ ครางเสียงต่ำและเร่งจังหวะเมื่อหลุดเข้าไปสู่วังวนราคะ ในขณะที่ไล่กัดไปตามแผ่นหลังเนียนด้วย

เฮนรี่กระแทกเข้าไปลึกจนถึงจุดที่เรียกเสียงร้องหวานๆ ของคนตัวเล็กให้หลุดออกมา เขาแสยะยิ้ม ถอนตัวออกแล้วกระแทกเข้าไปใหม่ จงใจให้โดนจุดกระสันซึ่งทำเอาคนด้านใต้สั่นสะท้าน ร้องเสียงหลงแทนที่จะเป็นเสียงขอความเห็นใจ เขาเลียริมฝีปากอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าสามารถคุมคนด้านใต้ให้อยู่ในอำนาจได้ ในขณะที่เลื่อนมือขวามาชักรูดท่อนความเป็นชายของโอเมก้าด้านใต้ ได้ไม่นานทั้งเขาและเบนก็สั่นกระตุกถี่ๆ แล้วปลดปล่อยความต้องการออกมา

เมื่อคลื่นความต้องการระลอกแรกถูกซัดเข้าหาฝั่งแล้ว เฮนรี่ก็ถอนตัวออกมองคนตัวเล็กที่แทบจะล้มไปกองกับพื้นหากไม่เกาะกำแพงอิฐเอาไว้ เขาขยับจะเข้าไปพยุงเอวคอดแต่กลับถูกสั่งห้ามเสียงแข็ง

“หยุด” เบนกล่าวออกมาทั้งเสียงสะอื้นน้อยๆ เฮนรี่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก “อย่า เข้ามาใกล้เรา”

“ฉะ… ผม ผมขอโทษ ผม…” เฮนรี่พยายามอธิบาย เขารู้ได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีดลงเรื่อยๆ น้ำเสียงของเบนมันแฝงไปด้วยอำนาจตามธรรมชาติ อีกทั้งยังมีพลังมากพอปลุกให้เขากลับมาได้สติอีกด้วย เขาได้แต่มองเบนที่กึ่งเปลือย เลือดของเจ้าตัวและน้ำรักของเขาไหลปนกันลงมาตามท่อนขาเรียว “ผมขอโทษจริงๆ เบา”

“เรา…อ้ะ ให้ตาย ให้ตายสิ ไอ้อาการบ้านี่”

เบนพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ต้องปิดริมฝีปาก ร่างกายเล็กกลับมาสั่นสะท้านอีกครั้ง เฮนรี่ได้กลิ่นหอมหวานแบบเดิมลอยมาจากคนตัวเล็ก เขารู้ว่ามันคือสัญญาณของอะไร และให้ตาย เขาอยากเข้าไปสูดดมมันใกล้ๆ และมัวเมาไปกับเจ้าของร่างที่ส่งกลิ่นรัญจวนนี่ แต่พอเห็นสภาพคนตัวเล็กที่แทบจะพังจากเซ็กส์เมื่อครู่ก็ต้องกัดฟันทน

ก็หวังว่าจะทนได้

“เบน กลิ่นคุณมันทำผมไม่ได้สติ”

“จะบอกว่าเราผิดงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ แต่ตอนผมได้กลิ่นของคุณมันก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีก ผมแค่…อยากมีเซ็กส์กับคุณ อยากทำให้คุณตกเป็นของผมคนเดียว”

เฮนรี่มองเบนที่เงยหน้ามองเขา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาคิดอย่างที่พูดออกไปทั้งหมด

“เบน ผมขอโทษที่ทำร้ายคุณเมื่อกี้ แต่หากคุณให้โอกาสเริ่มใหม่ผมสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก คุณก็รู้ว่าตอนนี้ร่างกายคุณกำลังต้องการความช่วยเหลือ และผมเป็นคนเดียวที่ช่วยคุณได้”

“…”

“ถ้าคุณกลัวว่าผมจะคุมตัวเองไม่ได้อีก งั้นคุณมาคุมผมแทนสิ”

เบนตกใจจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดไหนของเฮนรี่

“ผมจะเป็นคนเติมเต็มในแบบที่คุณต้องการเอง”

 

ความเจ็บแปลบที่เสียดแทรกเข้ามาตรงกลางหว่างขาทำให้เบนต้องแอ่นสะโพกขึ้น พอเบนสายตาไปมองก็พบว่าเฮนรี่กำลังสอดใส่ส่วนแข็งขืนของตนเข้ามาในช่องทางของเขา แม้ว่าจะเจ็บแต่คราวนี้มันน้อยลงกว่าเมื่อครู่มาก อย่างน้อยเขาก็ได้มีเวลาทำใจและปรับตัวให้คุ้นชิน

น้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างเมื่อสัมผัสได้ถึงความปวดแบบหน่วงๆ เป็นระยะ คล้ายกับร่างทั้งร่างค่อยๆ ถูกฉีกออกจากกัน เขากลั้นเสียงสะอื้นและเปลี่ยนไปกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นแทน

เบนเตรียมใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งเขาต้องตกเป็นของอัลฟ่าสักคน แต่ทุกครั้งเขาก็บ่ายเบี่ยงงานเลี้ยงดูตัวมาตลอด ปฏิเสธทุกคำชวนออกเดต ไม่ตอบรับคำสั่งของพ่อและแม่ที่ถามหาทายาทอยู่ทุกครั้งที่เจอหน้า กระทั่งวันหนึ่งคนสนิทของเขาไปได้ยินว่าท่านทั้งสองกำลังจะส่งตัวเขาไปแต่งงานกับกษัตริย์อาณาจักรข้างเคียงเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้ว่าตัวเองควรเริ่มต้นทำอะไรให้เป็นรูปธรรมเสียที ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลบออกจากวังมาหาซื้ออัลฟ่าสักคนไปใช้หลอกพ่อแม่ให้ตายใจจนกว่าจะเจอคนที่ถูกใจจริงๆ อัลฟ่าที่เป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่พวกชนชั้นสูงงี่เง่าซึ่งเอาแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อเขา แต่ใครจะไปคิดว่าเพียงครั้งแรกที่ได้เข้าไปเหยียบร้านค้าทาสแห่งนั้น ร่างกายก็เกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เขาได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของอัลฟ่ามาจากมุมด้านบนของห้อง มันเป็นกลิ่นเดียวที่ส่งตรงมาถึงเขา จนรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นไหวของตนเองยามได้สบกับนัยน์ตาสีฟ้า เขาอยากตกเป็นของอัลฟ่าคนนี้ เขาอยากใช้ชีวิตเคียงคู่ไปกับอีกคน

แต่ใครจะไปนึกว่าอัลฟ่าจะเป็นพวกป่าเถื่อนได้ถึงขนาดนี้ ตอนที่อาการฮีทกำเริบและพยายามล้วงหายามาระงับอาการ ตัวของเขาก็ถูกเฮนรี่ผลักเข้าหากำแพงอิฐ อีกฝ่ายตามมาทาบทับและบังคับให้เขายอมเปิดทางให้ตัวเอง แม้ว่าจะเจอเรื่องน่าหวาดกลัวมามากแค่ไหนแต่นี่เทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเผขิญไป ความหวาดกลัวกอปรกับความตื่นตระหนกขับให้เขาร้องไห้จนปวดตา รู้สึกเจ็บไปทุกสัดส่วนจนอยากให้กิจกรรมบ้าๆ นั่นจบลงเสียที

แม้แต่ตอนนี้ความเจ็บนั้นก็ยังตอกย้ำ เขายังกลัวอยู่ ยอมรับเลยว่าเขากลัวแต่ร่างกายก็ไม่ยอมให้หนี มันต้องการการถูกเติมเต็มจากชายด้านบน และเบนไม่รู้ว่าเขาควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี สมองมันตื้อไปหมด เลยได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มขณะมองคนตัวใหญ่กว่าช่วยบรรเทาอาการฮีทให้

“ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บ” ริมฝีปากหยักก้มลงมากดจูบซับน้ำตาให้แผ่วเบา “ขอโทษ”

เฮนรี่วางฝ่ามือลงบนศีรษะของเขาอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วโป้งซ้ายเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เขา ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดผ่านมืออีกฝ่ายทำให้ความเจ็บปวดทั้งที่กายและใจทุเลาลง

“เรากลัว ตอนนั้นเจ้าไม่ฟังคำขอของเราแม้แต่น้อย เจ้า…ดูดุร้ายและอันตราย”

เบนควบคุมตัวเองไม่ได้ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายและแสดงอารมณ์ให้ใครเห็น ในฐานะที่เขาเป็นอยู่ การแสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทางจะเป็นการยืนยันว่าตนเองเลือกอยู่ฝั่งใด นอกจากนี้การเผยความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นจะนำมาแต่ผลเชิงลบ กล่าวโดยสรุปแล้วเบนไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้เลย แต่ต่อหน้าเฮนรี่เขากลับเปิดเผยทุกอย่างออกมาหมด จนอดคิดไม่ได้ว่าตนนั้นอ่อนแอและเปราะบาง

“ผมขอโทษ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้” เฮนรี่ย้ำอีกครั้ง “ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

เบนส่ายหน้า น้ำเสียงและสัมผัสที่อ่อนโยนขึ้นทำให้ความรู้สึกเมื่อก่อนหน้าจางหายไปทีละน้อย

เขาเข้าใจดีว่าอัลฟ่าตรงหน้าไม่ได้อยากทำร้ายเขาแต่เป็นไปตามสัญชาตญาณ มิเช่นนั้นคงบุกเข้ามาจับเขาปู้ยี่ปู้ยำต่อโดยไม่สนคำสั่งของเขานานแล้ว ท่าทีที่อ่อนลงและแววตาสำนักผิดช่วยให้เขาชื้นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็จะยังมีชีวิตรอดภายในค่ำคืนนี้

“ขอขยับได้มั้ย” เบนพยักหน้ารับคำขออัลฟ่าหนุ่ม จิกกำชุดคลุมที่ปูอยู่บนพื้นไว้แน่น ก่อนเฮนรี่จะก้มลงกระซิบเบาๆ “ถ้าเกร็งคุณจะยิ่งเจ็บ ผมสัญญาว่าจะทำเบาๆ”

เฮนรี่เริ่มขยับตัวเข้าออกอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของอัลฟ่าอ่อนโยนขึ้นจนทำเบนรู้สึกดีขึ้นมาเสียแล้ว จังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไปด้วยความเป็นห่วงผิดกับตอนแรกลิบลับ ความบอบช้ำที่ได้รับจึงบรรเทาลง เหลือไว้แต่ความต้องการที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทีละนิด และทุกครั้งที่ท่อนเนื้อของเฮนรี่เสียบแทรกเข้ามาในตัวของเขา ร่างกายก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอันหอมหวาน

“เร็วขึ้น”

เบนเอ่ยปากสั่งเมื่อจังหวะเท่าเดิมไม่เพียงพอตอบสนองความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป ริมฝีปากอิ่มกัดเข้าหากันเมื่อแท่งความเป็นชายของอัลฟ่าเบียดถูกับผนังส่วนลับ เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนนั้นที่ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้านจนถึงกับต้องเชิดหน้าขึ้น เมื่อจุดอ่อนไหวถูกปลายแก่นกายแข็งขืนเฉียดผ่านเท่านั้นสองแขนก็ตวัดโอบรอบลำคอแกร่งไว้ยึดอัตโนมัติ

“อ๊า~~! ตรงนั้น เอาอีกที”

“เบน”

“เฮนรี่… เร็วอีก อึ้ก…อาา อ๊ะ อ๊าา”

จังหวะถูกเปลี่ยนทันทีเมื่อเบนร้องขอ ความร้อนรนกำลังจะทำให้เขาคลั่ง ความเร่าร้อนกำลังแผดเผาเขาทั้งเป็น ความมีเหตุผลถูกความสุขสมเข้าครอบงำจนไม่เหลือสติอีกต่อไป

“อีก… เอาอีก”

“แต่เบน คุณจะเจ็บ”

“แรงอีก เฮนรี่!”

เบนตะโกนสั่งเมื่อร่างกายทนรอไม่ไหวแล้ว เขาแบสองขาออกให้เฮนรี่เข้ามาได้ลึกขึ้นกว่าเดิมจนถึงจุดกระสัน ครางเสียงหวานไม่หยุด ไม่มีเวลาสนใจแม้กระทั่งน้ำลายที่ไหลย้อยลงมาจนถึงปลายคาง ไม่สนแม้กระทั่งเหงื่อที่ซึมอยู่บริเวณไรผมและหน้าผาก

“อย่ามาโทษผมแล้วกัน”

เฮนรี่ทิ้งไว้แค่นั้นก็โถมทั้งแรงและตัวเข้าใส่เบนไม่ยั้ง ทำเอาตัวของเขาสั่นคลอนไปตามแรงกระแทก ความเสียวซ่านระเบิดไปทุกอณูจนได้แต่ร้องและจิกทึ้งเสื้อเนื้อหยาบของคนด้านบน เบนพยายามโยกสะโพกเข้าหาแท่งเนื้อแข็งขืนอย่างสุดความสามารถเพื่อจะลิ้มรสความสุขให้มากขึ้นอีกนิด

“รู้สึกอ๊ะ อ๊า ดีจัง อื้ออ อื้มม เฮนรี่ รู้สึกดีจังเลย”

“คุณเองก็สุดยอดไปเลย”

แล้วบทสนทนาก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงครางและเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ในแววตาของทั้งคู่ไม่หลงเหลือเหตุผลอยู่เลย ต่างกอบโกยความสุขสมและเติมเต็มตัณหาให้ตัวเองอย่างละโมบ สอดประสานร่วมจังหวะจนเป็นหนึ่งเดียวกัน

“จะ ถึง…นั่นแหละ แบบนั้น เฮนรี่”

“ถึงให้สุด เบน ปล่อยมันออกมา”

เบนร้องเสียงสูงกว่าเดิมขณะแอ่นสะโพกขึ้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านแล้วน้ำขาวขุ่นก็ฉีดพุ่งออกมาจากแก่นกายแดงสด ขณะเดียวกันเฮนรี่ก็ปลดปล่อยน้ำรักเข้าในตัวของเขาจนทำเอาอุ่บวาบไปทั้งช่องท้อง

.

.

.

.

.

สองปีต่อมา

เวลาหมุนผ่านไปเร็วจนแทบจะตาลาย เมล็ดพันธุ์แห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเริ่มจะแตกหน่อ เฮนรี่หมายถึงข้อตกลง คำร้องขอ คำสั่ง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เบนเคยบอกเอาไว้ในตอนแรก

เขากับเบนมีลูกฝาแฝดเป็นผู้ชายทั้งคู่ และตอนนี้พวกเขากำลังหัวหมุนอยู่กับการเป็นพ่อแม่มือใหม่ที่ต้องคอยกำราบเจ้าตัวแสบสองหน่อซึ่งซนและดื้อน่าดู

พูดก็พูดเถอะ ในระยะเวลาที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังเมื่อตัวเองเคยถูกขายเป็นทาสมาก่อน แถมยังได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าชายที่ถ้าคนในวังไม่ออกตามหาในตอนเช้า เขาก็คงไม่มีวันได้รู้สถานะของเบน หลังคืนนั้นจบเบนก็ฟุบหลับ ปล่อยให้เขานอนชมความงามของตัวเองก่อนถูกจับไปขังคุกเกือบเจ็ดวันข้อหาล่อลวงเจ้าชายรัชทายาท

ใครมันไปล่อลวงกันวะ ไอ้เจ้าชายนั่นมาหาฉันถึงที่ต่างหาก!

ก็อยากจะพูดแบบนี้ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ท่ามกลางปลายดาบอัศวินเกือบห้าเล่ม

เบนเป็นคนช่วยเขาไว้ เขารอดพ้นจากคุก ได้เป็นสามีของเจ้าชายของอาณาจักร แต่มันก็แค่ตำแหน่งในนาม เพราะเขาแทบไม่ได้แตะต้องเบนเลยหากเบนไม่ลงมาหาที่ห้องคนรับใช้ แล้วจากนั้นชีวิตของเขาก็วุ่นวายและเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า

แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่ง…ถ้ามีเวลาคงเล่าให้ฟังคราวหลัง

ยังไงก็ตาม หลังผ่านเรื่องเลวร้ายมาอย่างโชกโชนแล้ว ชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อเบนตัดสินใจสละบัลลังก์ให้กับผู้สืบทอดอันดับสองแทน โอเมก้าคนนั้นเลือกเขาและลูกมากกว่า เหตุผลมีเพียงแค่ว่าครอบครัวจำเป็นต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

ถึงเบนจะไม่ใช่คนในราชวงศ์แล้วแต่ก็ยังมีเชื้อสายราชวงศ์ ทำให้ยังได้รับชีวิตดีๆ เช่นเกาะส่วนตัวและหุ้นส่วนของบริษัทส่งออกอาหารและเครื่องดื่มอีก

หนูตกถังข้าวสารที่แท้จริง เฮนรี่คิด

“เฮนรี่ มาช่วยอุ้มแบร์รี่หน่อย”

“กำลังไป”

เฮนรี่ตอบ จากนั้นจึงวิ่งไปยังสวนหลังบ้านซึ่งมีเบนกำลังนั่งให้นมแฝดคนโตอยู่บนม้านั่ง เอซร่า แฝดคนแรกที่น่ารักน่าชังและสวยเหมือนแม่ ส่วนแบร์รี่คือแฝดคนที่สอง ถึงแม้จะเกิดห่างกันไม่กี่นาทีก็ตามแต่แบร์รี่ก็เป็นน้องของเอซร่า ซึ่ง…น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเขาไม่มีผิด

“ลูกงอแงไม่ยอมออกจากอกเราเลย”

“ผมเข้าใจลูกว่าทำไม” เฮนรี่ตอบด้วยรอยยิ้มซุกซนแล้วตรงไปกดจูบบนแก้มนุ่ม จากนั้นจึงอุ้มแบร์รี่ที่ร้องไห้งอแงอยู่ในเปลขึ้นมาอยู่แนบอก “อกคุณนุ่มและน่าซบขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากออกห่างจากอกคุณด้วยซ้ำ”

ไม่เพียงพูดเปล่า เฮนรี่หันไปขโมยจูบคนที่กำลังนั่งให้นมลูกอยู่ เขาแทรกลิ้นเข้าไปกอบโกยน้ำหวานภายในและตวัดลิ้นพัวพันกับลิ้นของโอเมก้าที่ตอบกลับอย่างคุ้นชิน แต่ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านั้นเสียงร้องของแบร์รี่ก็ดังขึ้นขัด

เฮนรี่ยอมถอนจูบออกมาแล้วทำหน้างอแง มองลูกในอ้อมแขนที่ไม่ยอมหยุดร้องไห้

“แบร์รี่ไม่อยากได้น้องเพิ่มอีกสักคนเหรอ”

“เฮนรี่ ถามอะไรแบบนั้น แค่สองแฝดก็เหนื่อยจนหัวหมุนแล้ว”

“ผมเลี้ยงได้”

“เมื่อคืนยังบ่นอยู่เลย”

“ก็ลูกสะดุ้งตื่นมาขัดตอนผมกับคุณกำลังทำน้องให้พวกเขา”

“เฮนรี่!”

เฮนรี่หัวเราะร่วนเมื่อกวนประสาทคนตรงหน้าสำเร็จ เขามองแก้มแดงๆ ของเบนพลางกล่อมแบร์รี่ไปด้วย จากนั้นจึงอุ้มเดินพาลูกตัวน้อยไปวางบนเปล แกว่งมันเบาๆ ให้เจ้าตัวน้อยหลับสนิท

“เอซร่าเงียบหรือยัง”

“อืม”

เบนตอบ อุ้มแฝดคนโตที่หลับตามไปอีกคนไปวางลงบนเปล จากนั้นจึงกลับมานั่งที่เดิมพลางถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นทุบๆ บ่าข้างซ้ายก่อนหันไปหาเฮนรี่ที่มองอยู่ก่อนแล้ว

“มองอะไร”

“ภรรยา”

“เราไม่เคยตอบตกลงเป็นภรรยาของเจ้า”

“งั้นที่ผ่านมาผมเป็นอะไรสำหรับคุณ”

พอเจอน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจเอ่ยถามเบนก็เอียงคอน้อยๆ แล้วเขยิบมานั่งคร่อมตักของเขา โอบสองแขนไว้ที่ลำคอของเขาหลวมๆ

“เป็นคนทำลูกให้เรา” พูดจบเบนก็ก้มลงจูบบนเปลือกตาของเขา “เป็นคนที่มอบครอบครัวให้เรา เป็นพ่อของลูกเรา เป็นคนสำคัญของเรา”

ทุกคำพูด เบนจะกดจูบลงบนแก้ม ริมฝีปาก และไปจบที่ลำคอคล้ายกับต้องการตอกย้ำให้เขามั่นใจในที่ที่ตัวเองยืนอยู่

“ขอบคุณ สำหรับทุกอย่าง”

“เจ้ามอบเหตุผลที่จะต่อสู้ให้เรา เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

“คุณเองก็มอบเหตุผลที่ทำให้ผมไม่คิดหนี มอบอิสรภาพและโอกาสให้คนอย่างผม”

เฮนรี่เขยิบไปกดจูบริมฝีปากอิ่ม สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากฝ่ามือบางกว่างที่กำลังบีบนวดแผ่นอกของเขาอย่างเอาใจ เขาถอนปากออกมาถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“จะทำกันตรงนี้จริงเหรอ”

“ไม่มีคนเห็นหรอก นี่เป็นเกาะส่วนตัวของเรา”

“เดี๋ยวลูกก็ตื่นหรอก”

“งั้นอย่าส่งเสียงดังสิ”

เฮนรี่ยิ้มโชว์เขี้ยวขาวพลางหัวเราะด้วยความขบขัน ก่อนกดท้ายทอยคนด้านบนให้ก้มลงมามอบจูบให้ จากนั้นจึงเริ่มกิจกรรมรักโดยส่งเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

ขอลูกแฝดอีกได้ไหม เบน

 

 

THE END
12/01/2020

[Strange x Tony] Sin

Title: Sin

Pairing: Stephen Strange x Tony Stark

Author: SaRa_PAO

Genre: Porn without Plot

Rate: R-18

Note:

tumblr_pdqfo89svT1trs5foo5_1280

ค่ำคืนหนึ่งในฤดูร้อน บาทหลวงทุศีลได้เจอกับความลุ่มหลงผู้มาพร้อมปีกนางฟ้าสีดำทมิฬ ผมสีดำน้ำตาลภายใต้แสงจันทร์รับกับนัยน์ตากลมโตสีน้ำผึ้ง พวกมันขับให้ใบหน้าหวานเหลี่ยมจัดดูโดดเด่นสะดุดตาผู้ได้พบเห็น เรือนร่างมีน้ำมีนวลน่าจับน่าบีบไปเสียทุกสัดส่วนภายใต้ชุดหนังขาดวิ่น เฟลอร์สีเทาซึ่งคลุมรอบคอชายผู้นี้อยู่เปื้อนรอยดำเป็นจุดๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง นอกจากนั้นยังมีคราบเลือดปะปนอยู่ด้วย

เกิดอะไรขึ้นกัน

บาทหลวงที่ยืนตกตะลึงอยู่เริ่มสงสัยในความเป็นมาของเทวทูต ไม่สิ ถึงกลิ่นอายจะแสดงออกแบบนั้นแต่ปีกสีดำเช่นนี้ไม่มีทางเป็นชาวสวรรค์แน่ แล้วกลิ่นนี่เกิดจากอะไร

ยังไม่ทันมีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้น ชายแปลกหน้าก็ล้มตึงไปบนพื้น

 

สองสัปดาห์ต่อมาชายแปลกหน้าก็ฟื้นคืนสติ สตีเฟ่นใช้เวลาไม่นานก็ทราบข้อมูลคร่าวๆ ของชายผู้นี้ นามคือโทนี่ สตาร์ค เคยเป็นเทวทูตมาก่อน เพราะทำผิดกฎของสวรรค์จึงถูกขับไล่ลงมายังโลกมนุษย์ และปีกของเทวทูตที่ถูกขับไล่จะกลายเป็นสีดำอัตโนมัติ ระดับความเข้มจะขึ้นอยู่กับบาปที่กระทำลงไป ปีกของโทนี่นั้นดำสนิท ตรงโคนปีกมีสร้อยไข่มุกประดับอยู่ให้รู้ถึงความสูงส่ง แต่นั่นคงไม่สำคัญแล้วเมื่อเจ้าตัวกลายเป็นเทวทูตตกสวรรค์

บาทหลวงทุศีลชุบเลี้ยงและให้ความอาทรกับชายอับโชคตามหน้าที่ของบาทหลวง จนไม่รู้เมื่อไหร่ที่โทนี่ติดเขาแจ จะเรียกว่าสนิทก็ไม่ได้ จะบอกว่าห่างเหินก็ไม่ถูกอีก เป็นความสัมพันธ์ซับซ้อนเกินจะเล่า

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่สตีเฟ่นมาเยี่ยมโทนี่ยังห้องพักเล็กๆ ของเทวทูตตกสวรรค์ เจ้าตัวนอนหลับอยู่บนเตียงไม้โทรมเล็กน้อย ทุกครั้งที่โทนี่ขยับตัว เตียงจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยิน สงสัยเขาคงต้องหาเวลามาซ่อมมันเสียแล้ว มิเช่นนั้นโทนี่อาจทำเตียงพังเมื่อไหร่ก็ได้

“อาหารวางอยู่ที่เดิมนะ” สตีเฟ่นกล่าวเรียบๆ ด้วยโทนเสียงเดิม เขาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง “อย่าลืมตื่นมากินล่ะ”

เขารู้ว่าพูดปโทนี่ก็คงไม่ได้ยิน เจ้านี่ตื่นสายเป็นประจำ มันไม่คิดจะมาช่วยงานคนที่ให้ที่อยู่ให้ของกินทุกวันหน่อยหรือไง อย่างน้อยเก็บกวาดห้องพักของตัวเองซึ่งเริ่มเละแล้วก็ยังดี

“อีกสักพักฉันจะเข้าเมืองไปซื้อของใช้ ดึกๆ คงกลับ”

“…ไปทำไรจนดึก” เสียงแข็งกระด้างดังขึ้นจากคนบนเตียง ไม่ได้หลับนี่หว่า “หาสาวเหรอ”

“นั่นไม่เกี่ยวกับนาย”

“มีฉันแล้วยังคิดจะทิ้งไปหาคนอื่นอีกเหรอ”

“นายแค่ถูกเก็บมาเลี้ยงดู เหมือนหมาแมวนั่นแหละ”

“แต่ฉันทำอะไรได้มากกว่าพวกนั้นนะ”

“ขนาดห้องตัวเองยังไม่เก็บกวาดเลย กล้าพูด”

สตีเฟ่นบ่น โทนี่ลุกพรวดมาทำหน้าบึ้ง แล้วเจ้าตัวก็พุ่งมากอดเขาเอาไว้แน่นสลัดไม่ออก แม้จะใช้แรงเยอะขนาดไหนก็ไม่อาจสู้แรงของเทวทูตตกสวรรค์ได้ ท้ายสุดสตีเฟ่นยอมให้โทนี่ทำตามอำเภอใจ เขารอจังหวะให้หมอนี่ตายใจแล้วค่อยสะบัดตัวออก

“ไม่อยาก…ให้ไปเลย”

สตีเฟ่นก้มลงมองอมนุษย์ทันที หัวทุยสวยซุกอยู่ตรงอกของเขา มันซุกไซร้เหมือนแมวเวลาออดอ้อนขอความสนใจ กลิ่นหอมหวานโชยเตะจมูกชวนให้เคลิ้มพิกล คล้ายกับดอกไม้แสนสวยส่งกลิ่นล่อภูมรให้เข้าหา

“ถ้าฉันไม่ไปแล้วพวกเราจะเอาอะไรกิน นายจะไปล่าสัตว์มาให้ฉันหรือไง”

“ถ้าจะไปฉันก็อยากไปด้วย”

“จะออกไปให้มนุษย์แตกตื่นกับปีกสีดำนี่หรือไง”

“ฉันเก็บมันได้” ไม่พูดเปล่า โทนี่ทำให้เห็นจริงๆ “ไปด้วยได้หรือยัง”

“ฉันไม่ได้ไปเที่ยว โทนี่” สตีเฟ่นบอก เขายกมือตบหัวคนที่กอดแน่นจนตัวเขาแอ่นเบาๆ “เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

“ไม่เชื่อหรอก” โทนี่ปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาจริงจังจนน่ากลัว “ทุกคนน่ะชอบทิ้งฉันไปกันหมด บอกว่าจะกลับมาก็ไม่เคยทำตามสัญญา ฉันน่ะ…”

คำพูดหลังกลายเป็นประโยคไม่สมบูรณ์เมื่อเจ้าของคำเงียบเสียงลง โทนี่เสมองทางอื่น ขบริมฝีปากแน่น กลิ่นหอมแรงขึ้นจนสตีเฟ่นรู้สึกมึนเมา เขาเหมือนถูกรมยาที่ช่วยกระตุ้นทุกเซลล์ในร่างให้ตื่นตัว อารมณ์และความต้องการเด่นชัดจนต้องครางกรอด คล้ายกับว่าเขาอยากใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่แต่ในห้องนี้กับโทนี่ตามลำพัง หากมีผู้ใดขัดขวางล่ะก็ เขาจะทำลายมันเสีย

สตีเฟ่นไม่ใช่พวกชอบใช้ความรุนแรงนัก ถึงแม้เวลาโมโหจะจะมีลงมือกับข้าวของบ้าง แต่เขายังคุมสติตัวเองได้อยู่ หากไม่ใช่ในครั้งนี้ ยิ่งได้สูดกลิ่นหอมละลายใจเขายิ่งอยากฉีกกระชากเสื้อผ้าของเทวทูตตกสวรรค์ออกยลผิวนวล และเขาจะไม่หยุดต่อให้ได้ยินเสียงหวานร้องขอยังไงก็ตาม

เกิดอะไรขึ้นกัน!?

“สตีเฟ่น อย่าไปเลยนะ”

คำกระซิบดังกังวานอยู่ในหูเหมือนเวลาเอาส้อมเคาะแก้ว มันสั่นสะเทือนไปถึงจิตใต้สำนึกซึ่งห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานาน ด้วยเป็นนักบวชจึงไม่อาจยุ่งกับสิ่งยั่วยุได้ ต้องคอยกักเก็บ ต้องคอยซ่อนจนหลงคิดไปว่าตนสามารถเอาชนะมันได้แล้ว ทว่าไม่ใช่ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

สตีเฟ่นหอบหายใจเมื่อถูกมือร้อนสอดเข้าใต้เสื้อแล้วลูบขึ้นด้านบน จากหน้าท้องมายังแผ่นอก แล้วโทนี่ก็เหยียดตัวขึ้นประกบจูบลงมา นัยน์ตามีเสน่ห์ฉ่ำวาวไปด้วยความต้องการอันเด่นชัด เรียวลิ้นที่แทรกผ่านเข้ามาในโพรงปากของเขาทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญ ไม่รู้ว่าหมอนี่ไปฝึกจากไหนมาถึงได้คล่องแคล่วเช่นนี้ มิใช่ว่าเป็นเทวทูตห้ามยุ่งกับเรื่องกามารมณ์หรอกหรือ หรือที่โทนี่ตกสวรรค์เป็นเพราะมีสัมพันธ์สวาทกับใคร…

ไม่รู้ผีห่าซาตานตนใดเข้าสิง สตีเฟ่นเกิดโมโหหึงขึ้นมา เขาหวงร่างกายของโทนี่จนแค่คิดว่ามันอยู่ใต้ร่างผู้อื่นก็แทบคลั่งแล้ว เขาตัดสินใจผลักโทนี่ล้มลงไปบนเตียงแล้วก้าวขึ้นคร่อม มองคนหน้าเหวอที่แวบนึงดูตกใจกลัว แล้วมันก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ชายคนนี้น่าเข้าหากว่าเดิม

รอยยิ้มยั่วยวนประดับบนโครงหน้าสวย สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของเขาไว้เป็นที่ยึด สตีเฟ่นกระตุกยิ้ม ก้มลงไปกระซิบแล้วขบติ่งหูคนช่างยั่วเป็นการลงโทษ

“ต่อให้ร้องขอยังไง แด๊ดดี้ก็จะไม่หยุดทำหรอกนะ”

 

พอได้ลิ้มลองแล้วมันยากเกินจะอดใจไหวจริงๆ บาทหลวงทุศีลผลักเรื่องศีลธรรมและความดีจนกระเด็นตกผาไปสิ้น เขาเพ่งความสนใจอยู่ที่ร่างกายของเทวทูตคนสวยซึ่งตัวบิดเร่าอย่างเสียวกระสัน ข้อนิ้วชี้ข้อแรกถูกเจ้าตัวกัดระบายความรู้สึก เหงื่อผุดซึมตามใบหน้า แก้มแดงระเรื่อกับกลีบปากสีชมพูยิ่งขับให้โทนี่เย้ายวนจนสตีเฟ่นอยากทำลายร่างนี้ให้แหลกสลายคามือ เพื่อที่ใครจะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ของเขา

สตีเฟ่นขยับนิ้วกลางในช่องทางระอุเตรียมพร้อมให้คนด้านใต้รับสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วเข้าไปได้ง่ายๆ เขาไม่อยากรอ ให้อดทนอีกแค่วินาทีเดียวยังแทบทำไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่ติดว่ากลัวโทนี่จะเจ็บ ก็อุณหภูมิและความอ่อนนุ่มของช่องทางเยิ้มไปด้วยน้ำหล่อลื่นนี่น่ะมันเยี่ยมสุดๆ แค่คิดว่าส่วนกลางของเขาได้สัมผัสมันเพียงแค่ส่วนปลายก็แทบเสร็จกิจแล้ว

“ของ…นาย อะอื้อ ขยายใหญ่อีกแล้ว”

คำแซวของคนตรงหน้าทำสตีเฟ่นแสยะยิ้ม เขาก้มไปจูบกระหม่อมชื้นเหงื่อแล้วผละมากระซิบถามชิดริมฝีปากแดงเจ่อจากการถูกดูดดึง

“เพราะใครกันล่ะ”

“แล้วแบบนี้ยังจะออกไปข้างนอกอีกเหรอ”

“อย่าเปลี่ยนประเด็นสิ”

“ตอบมาก่อนสิ”

ฝ่ามืออุ่นกุมแก้มของเขาไว้เบาๆ สตีเฟ่นสบตาโทนี่ มันคาดคั้นเอาคำตอบเสียเหลือเกิน

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ออกหรอก”

พูดจบก็กดจูบลงไปอย่างนุ่มนวล พอเหยื่อเพลิดเพลินไปกับสัมผัสที่มอบให้แล้วก็เปลี่ยนระดับความรุนแรงขึ้น สตีเฟ่นใช้มืออีกข้างดันท้ายทอยโทนี่ให้แหงนขึ้น เขาสอดลิ้นลึกลงไปแล้วไล่เก็บเกี่ยวความรัญจวน ดื่มด่ำ มัวเมา เคลิบเคลิ้มไปกับความผิดบาปอันหอมหวาน

เมื่อพอใจแล้วบาทหลวงทุศีลจึงผละริมฝีปากออก สายใยสีใสเชื่อมติดออกมาจนโทนี่ต้องตวัดลิ้นเลีย นี่มันยั่วกันชัดๆ หมอนี่เป็นปีศาจราคะจากนรกหรือไง

“นายพร้อมหรือยัง” สตีเฟ่นเอ่ยถามพลางสอดนิ้วที่สองและสามเข้าไป โทนี่เบ้หน้าเล็กน้อยแล้วผงกหัวเป็นการตอบรับ “เพราะฉันแทบทนไม่ไหวแล้ว”

“อืม” คนตัวเล็กรับคำ ก่อนแกล้งขมิบรัดนิ้วทั้งสามของเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิญชวน “ถ้าทนไม่ไหวแด๊ดดี้ก็เข้ามาซะทีสิครับ”

 

หน้าที่ของโทนี่…เทวทูตตกสวรรค์ผู้เฝ้าหาหนทางกลับคืนสู่ท้องฟ้าเบื้องบนให้ได้

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เขาลักลอบคบหาดูใจกับปีศาจตนหนึ่ง ความสัมพันธ์ของพวกเขาลึกซึ้งถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันหลายต่อหลายครั้งจนเขาไม่รู้เลยว่า ตัวเองนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยบาปและกลิ่นสาปของปีศาจตั้งแต่เมื่อไหร่ นานวันเข้าฟิวรี่ก็ล่วงรู้ถึงความลับโสมมของเขา เจ้าตัวพยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้ นั่นคือการมาบอกให้เขาหลบหนีไปกบดานที่อื่นจนกว่าเรื่องจะซาลง แทนที่เขาจะทำตาม แต่กลับหัวดื้อจนในที่สุดก็ถูกสภาพิพากษา

‘เทวทูตมิควรเสพสมกามารมณ์ มันผิดบาป’

ประธานสภากล่าวเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ โทนี่ตอกกลับทันที

‘เทวทูตเองก็มีความรู้สึก คนที่เอาแต่หลบหนีความต้องการอันแรงกล้าของตนต่างหากที่น่าสมเพช’

เขาได้รับโทษทัณฑ์ให้ตกจากสวรรค์ไปยังนรก เป็นปีศาจผู้ให้กำเนิดบุตรแห่งซาตานผู้จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากลูซิเฟอร์

ทั้งที่โทนี่ไม่ได้เสน่หาหรือพบเจอลูซิเฟอร์สักครั้งด้วยซ้ำ น่าขันยิ่งนัก

เมื่อใดก็ตามที่เขาคลอดบุตรแห่งปีศาจได้แล้ว เขาจะได้รับการให้อภัยและถูกชำระล้าง

ตรรกะแบบนี้ก็มีด้วย?

โทนี่เฝ้าหาผู้ใดก็ได้ที่จะมอบบุตรคนนั้นให้เขา เขาจะได้กลับขึ้นไปเอาคืนพวกโง่เง่าที่กล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะกี่รายต่อกี่ราย ปีศาจก็ดี มนุษย์ อมนุษย์ หรือแม้กระทั่งเทวทูตใจทรามก็มิอาจทำให้เขาพึงใจในเซ็กส์ได้สักตน ราวกับว่าเพศสัมพันธ์ที่เขามีมาทั้งหมดยังขาดอะไรบางอย่างอยู่

เทวทูตตกสวรรค์ไม่เคยรู้คำตอบจนกระทั่งได้พบกับบาทหลวงทุศีล โทนี่คิดแค่จะหลอกใช้ชายผู้นี้เช่นที่ผ่านมา ทว่าพอได้รับสัมผัสและถูกสัมผัสด้วยความร้อนแรงจนเขาแทบคลั่งแล้ว ในหัวก็ขาวโพลนลืมทุกอย่างไปสิ้น ภายในนั้นมีเพียงภาพจินตนาการลามกลอยเต็มไปหมด หากว่าสตีเฟ่นทำท่านี้ล่ะ หากว่าหมอนี่ทำท่านั้น มันจะสุขสมถึงเพียงไหนกัน

อา…แค่คิดก็แทบเสร็จกิจแล้ว

“โทนี่” เสียงแหบพร่าปนหอบหายใจดังเรียกสติโทนี่กลับมา เขาปรือตามองสตีเฟ่นที่ดึงให้เขาลุกเดินไปทางกระจกเหนืออ่างล้างมือด้วยกัน “นายสวยสุดๆ ไปเลย”

โทนี่มองตัวเองในกระจก ให้ตายสิซาตาน เขาไม่รู้มาก่อนว่าสตีเฟ่นทำให้เขามัวเมาในราคะได้ขนาดนี้ หน้าและตัวของเขาแดงระเรื่อ แผ่นอกกับหน้าท้องเต็มไปด้วยรอยรักและรอยจูบ เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเอง ร่างกายร้อนระอุดั่งอยู่กลางกองเพลิง

“แยกสองขาออกสิเด็กดี”

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวของเขาเบาๆ เขาทำตามแทบจะทันที ไม่เหลือเค้าความหยิ่งทระนงเยี่ยงผู้สูงศักดิ์ ลึกๆ มันกลัวว่าถ้าทำให้ชายคนนี้ไม่พอใจ เขาจะไม่ถูกปรนเปรออย่างเต็มที่

เกิดอะไรขึ้นกัน!?

ทันทีที่อ้าขาออกสตีเฟ่นก็แทรกตัวเข้ามาในช่องทางด้วยท่อนความเป็นชายของตน โทนี่ถึงกับส่งเสียงเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงท่อนเนื้อเสียดสีกับผนังช่องทางรัก ลึกขึ้น ลึกขึ้นจนสุดความยาวที่ทำเอาจุกเล็กน้อย เทวทูตผู้ถูกสาปกำขอบอ่างล้างมือแน่น เผยอปากหายใจ แล้วหันไปมองคนด้านหลังซึ่งใช้สองมือกุมมือของเขาไว้หลวมๆ

“เราไม่ควรมีสัมพันธ์สวาทแบบนี้” สตีเฟ่นกล่าว เหมือนจะรู้สึกผิดแต่ความจริงแล้วมันแฝงไปด้วยการขอความเห็นให้ใครก็ได้ยอมรับว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

โทนี่กระตุกยิ้ม ยื่นหน้าไปจูบคนขี้กังวลสองสามครั้งก็ผละออกมาส่ายหน้า

“ถ้ามันจะผิด ป่านนี้เราคงโดนทำโทษไปแล้วล่ะ”

สตีเฟ่นคลี่ยิ้มแล้วก้มลงไล่จูบไปตั้งแต่หลังคอยาวลงไปถึงกลางหลัว ขยับสะโพกเบาๆ เป็นการชักนำอารมณ์ของโทนี่ให้พุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม การถอนตัวออกทิ้งช่วงให้เขาใจโหวงแล้วกระแทกเข้ามาใหม่มันทำให้สติของเทวทูตตัวน้อยกระเจิงไปคนละทิศละทาง เขาเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสาในเรื่องอย่างว่าจนต้องรอสตีเฟ่นนำพาไปสู่สุขาวดี ยิ่งจังหวะหนักหน่วงนั่นเสียดแทงเข้ามาแรงๆ ยิ่งทำให้เขาต้องการมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง

“แด๊ดดี้ แรงอีก” โทนี่ออกปากสั่ง มองสตีเฟ่นที่มองภาพสะท้อนของพวกเขาในกระจกด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ความอายไม่มีผลต่อพวกเขาเลยสักนิด “แด๊ดดี้ อ๊ะ…ฮ้าา แด๊ดดี้”

เทวทูตผู้หลงระเริงไปกับราคะบิดตัวด้วยความเสียวซ่าน หลับตาลงแหงนหน้าขึ้นเมื่อถูกปรนเปรอทั้งจากด้านหลังและด้านหน้า ฝ่ามือใหญ่บีบคลึงติ่งไตบนอกของเขาทั้งสองข้าง นวดคลึงจนมันแข็งขืนจนรู้สึกเจ็บ เป็นความเจ็บที่รู้สึกดีสุดๆ ไปเลย

พระเจ้า ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ

“โทนี่” น้ำเสียงกระเส่าเรียกอยู่ข้างหู

“อะ…อ่าห์ แด๊ดดี้ ลึกกว่านี้ ลึกอีก”

โทนี่ค้อมตัวแอ่นสะโพกให้ได้รับความเสียวกระสันมากขึ้น เขาร้องเสียงหลงทุกครั้งที่สตีเฟ่นขยับสะโพกใส่รัวๆ จนได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้อง ความร้อนของแท่งในตัวเบียดถูผิวผนังช่องทางจนทำเอาร้องซี้ดไม่หยุด ถึงกับต้องจิกเล็บกับขอบอ่างเพื่อระบายความสุขสันต์จากกิจกรรมเร่าร้อน

“โทนี่ ลืมตามองกระจกสิ”

โทนี่ทำตามทันที ภาพสุดลามกตรงหน้าทำให้เขาไปถึงฝั่งฝันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่มันควรจะมีน้ำเชื้อออกมาแต่กลับแห้งสนิท เหมือนอารมณ์คุกรุ่นถูดสาดด้วยน้ำเพียงแก้วเดียว

เทวทูตตัวน้อยหันไปมองสตีเฟ่นที่ยังขยับไม่หยุด บาทหลวงทุศีลยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยแซว

“ชอบฉันมากถึงขนาดเสร็จไม่สุดเลยเหรอ”

คำพูดคำจาแบบนี้หากเป็นคนอื่นล่ะก็โทนี่คงสาปไปแล้ว

แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามีอาการแบบนี้เลยเถียงกลับไม่ออก

แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อนิ้วโป้งกระด้างนวดวนบนปลายแก่นกายของเขา ฝ่ามือใหญ่ชักมันขึ้นลงตามจังหวะการแทรกตัวเข้ามา โทนี่ครางเรียกหาสตีเฟ่นไม่ขาดปากอย่างกับจะบอกให้รู้ว่าตอนนี้ตนนั้นกำลังสุขสมเพราะเจ้าตัวมากเพียงไหน

“โทนี่ เกือบถึงแล้ว” สตีเฟ่นกล่าวปนครางเสียงพร่า “ไปพร้อมแด๊ดดี้นะ”

สตีเฟ่นก้มมาสั่งเชิงร้องขอ โทนี่พยักหน้าทั้งที่ในใจปฏิเสธ

อย่าเพิ่งจบเลย

ขยับได้อีกสองสามครั้งสตีเฟ่นก็ฉีดพุ่งน้ำรักร้อนระอุเข้าเต็มช่องทางโทนี่ แต่เจ้าของร่างเนี่ยสิไม่ยอมไปถึงจุดเสียที ทำเอาทั้งเขินทั้งอายจนแทบทนสู้หน้าสตีเฟ่นไม่ไหว

“แด๊ดดี้ทำไม่เก่งพอให้เธอถึงฝั่งเหรอ” คำถามน่ารังเกียจทำเอาโทนี่ใจเต้น เขาเบือนหน้าหลบ

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็…อ๊ะ สตีเฟ่น เดี๋ยว อื้อออ~~~”

ยังไม่ทันไล่ให้จบโทนี่ก็ถูกลิ้นร้อนลากจากหลังคอไปถึงกลางหลัง สตีเฟ่นถอนแก่นกายตัวเองออกแล้วพลิกตัวเขาให้หันไปเผชิญหน้า จากนั้นก็ไล่เลียจากกลางแผ่นอกนุ่มมาถึงท้องน้อย ส่วนมือก็บีบคลึงส่วนปลายซึ่งมีน้ำเยิ้มออกมาช่วยกระตุ้น เขาเลียวนรอบท้องน้อยเกร็งกระตุกสองสามครั้ง โทนี่ก็ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาเต็มมือของสตีเฟ่นมากเสียจนมันไหลลงไปตามท่อนแขน

อา… อยากมีลูกกับหมอนี่ชะมัด

 

โทนี่นั่งมองท้องฟ้ายามกลางคืน สตีเฟ่นหลับอยู่ข้างๆ โดยเอาแขนขวาพาดเอวเขาไว้แสดงความเป็นเจ้าของ เอาจริงๆ นะ อยู่กันสองคนแบบนี้จะหวงเขากับใครกัน

ความสับสนและความไม่แน่ใจเริ่มเกิดขึ้นในใจเทวทูต เขาชักไม่อยากกลับขึ้นสวรรค์แล้วในเมื่อเขาจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่มีสตีเฟ่น แดนสุขาวดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ความกลัวเป็นสิ่งตามมาทีหลัง โทนี่ไม่อยากมีลูก เขาไม่อยากแยกจากสตีเฟ่นไปตลอดกาล หากว่าคำสาปนี้มันจะมาพร้อมสิ่งดีๆ สักอย่างในชีวิต ก็ช่วยอย่าพรากมันไปจากเขาเลย เขายอมเป็นปีศาจต่ำศักดิ์กว่าเทวทูต ยอมโดนดูถูกเหยียดหยามจากอมนุษย์บนสรวงสวรรค์ หากมันจะทำให้ชีวิตของเขากับสตีเฟ่นเป็นไปด้วยดี

ความผิดบาปที่ลูกได้กระทำลงไป ขอลบล้างด้วยการเป็นคนดีนับจากนี้ได้หรือไม่

หากว่าเป็นเช่นนั้นได้ ขอพระองค์ผู้เป็นบิดาแห่งทุกสรรพสิ่งกรุณาเมตตา

อย่าแยกข้าพระองค์กับสตีเฟ่นออกจากกันเลย

“ไม่นอนหรือไง”

“ฉันแกร่งกว่าที่นายคิด”

“งั้นแปลว่าจะทำกี่รอบนายก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยล่ะสิ?” สตีเฟ่นลืมตาขึ้นช้าๆ รอยยิ้มขำชวนให้หงุดหงิดมันช่วยให้โทนี่รู้สึกดีขึ้น “ทั้งที่ตอนทำกันนายขาสั่นแทบยืนไม่ไหวแท้ๆ”

“ทั้งที่เห็นแบบนั้นแต่กลับใส่มาไม่ยั้ง ต้องมัวเมาในราคะขนาดไหนกัน?”

โทนี่ตอกกลับ สตีเฟ่นนิ่งไปเลย เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนสยายปีกที่ซ่อนไว้ออกมาคลุมตัวเองกับสตีเฟ่นเหมือนผ้าห่ม โอบกอดพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกัน ราวกับต้องการให้ปีกนี้ช่วยปิดบังการมีอยู่ของพวกเขาในเงามืดตลอดไป

“ปีกของเจ้าสวยนะ”

“มีแต่คนบอกน่าเกลียด”

“พวกตาไม่มีแววล่ะสิ” สตีเฟ่นบ่น ลูบปีกของเขาเบาๆ แล้วเขยิบมาจูบบนปีกอย่างนุ่มนวล “ถ้าไม่มีใครต้อนรับนาย มาอยู่กับฉันสิ”

“เป็นบาทหลวงไม่ควรสมสู่กับปีศาจหรือข้องเกี่ยวกับปีศาจ”

“อืม~ ฉันมันก็พวกไม่มีใครเอาเหมือนกัน โดนทุกคนในหมู่บ้านเรียกว่าบาทหลวงทุศีลบ่อยไป”

“คนบาปกับเทวทูตตกสวรรค์ คงไปกันรอด”

“รอดไม่รอดต้องลองดู เอ้า ว่าไงล่ะ”

โทนี่มองสตีเฟ่นที่มองมาอย่างคาดคั้นคำตอบ นันย์ตาคมเข้มแน่วแน่จริงจังดั่งหินผา

“แด๊ดดี้สั่งทั้งทีจะปฏิเสธได้ไงกัน”

 

 

THE END
11/04/2019
ขอบคุณค่ะ /พนมมือไหว้ย่อ

Sample: [Callum x Eddie] Romeo & Cinderella

ABO Verse: Romeo & Cinderella

 

เอ็ดดี้ เรย์แมนด์เป็นผู้ชายขายตัว

เขาไม่ได้หมายถึงนอนแผ่ร่างกายให้ใครต่อใครเชยชมแล้วจ่ายเป็นเศษเงินเล็กน้อยอย่างที่เข้าใจ แต่เขาขายร่างกายให้ตระกูลดังแห่งเกาะอังกฤษสมัยยังเป็นเด็กอายุสิบห้า เพิ่งส่งกลิ่นฟีโรโมนโอเมก้าที่เรียกเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายจู่โจมเข้าใส่ โชคดีที่ผู้นำตระกูลเทอร์เนอร์มาพบแล้วช่วยเขาเอาไว้ ภายใตเงื่อนไขที่ว่าหากเขาอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้ว เขาต้องเป็นเครื่องผลิตทายาทให้กับตระกูลนี้

ฟังดูแย่ แต่ความจริงมันสวยหรูตรงกันข้าม เอ็ดดี้ถูกท่านผู้ชายของเทอร์เนอร์เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ขัดสีฉวีวันเด็กไร้บ้านอย่างเขาเสียจนใสสะอาดดุจเพชรถูกเจียระไนโดยช่างชำนาญการ ข้อแม้เดียวที่ท่านสั่งไว้คือการออกไปข้างนอกคฤหาสน์สุดหรู

เอ็ดดี้เป็นนกถูกขังอยู่ในเรือนเล็กซึ่งก็ใหญ่พอเป็นอพาร์ตเม้นต์ได้เลยทีเดียว ห้องหับมากมายจนเขาเวียนหัวจำไม่หวาดไม่ไหว แม้จะอยู่มาห้าปีแล้วแต่เขาก็ยังจำห้องต่างๆ ไม่ได้อยู่ดี เรียกได้ว่าสมองปลาทองขั้นสุดยอด หากไม่มีคนรับใช้คนสนิทคอยบอกอยู่ทุกวัน เขาคงเดินหลงไปในห้องลับแล้วอาจไม่ได้กลับมาอีกก็ได้

ใช่ เอ็ดดี้อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเทอร์เนอร์เพื่อทำหน้าที่เครื่องมือผลิตลูกมาห้าปีแล้ว แต่เขาไม่เคยได้พบหน้าคุณชายเพียงคนเดียวของตระกูลเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกสั่งห้ามให้อยู่แต่ในเรือนเล็ก อีกส่วนเป็นเพราะคุณชายคนนั้นถูกกักบริเวณไม่ให้ย่างกรายเข้ามาใกล้เขา ด้วยเหตุบางอย่างที่เอ็ดดี้คิดว่าสักวันเขาคงได้ค้นพบมัน บางทีมันอาจเป็นเรื่องประมาณว่า ปัดโถ่เอ๊ย เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ ก็ได้

เพราะต้องทำหน้าที่เครื่องมือผลิตลูกให้ดีเอ็ดดี้จึงต้องดูแลร่างกายให้พร้อมเสมอ เขาต้องคอยนับวันฮีทแล้วกินยาเพื่อไม่ให้กลิ่นฟุ้งจนไปกระตุ้นอัลฟ่าคนอื่นๆ ให้แห่กันมาพังเรือนเล็กเพื่อเข้าถึงตัวเขา และเพราะคอยกินยาตลอดเขาเลยไม่เคยรู้สึกต้องการเรื่องอย่างว่ามาตลอด ห้าปี…คิดกันไม่ผิดหรอก

หากถามว่าทนอยู่มาได้ยังไง ไม่รู้สิ ก็แค่ใช้ชีวิตให้หมดวันไปจะได้เริ่มวันใหม่เสียที

มนุษย์ก็มีอยู่แค่นี้ไม่ใช่เหรอ

ทว่าในปีนี้มันต่างออกไปแล้ว เอ็ดดี้โดนสั่งห้ามไม่ให้กินยาปกปิดอาการฮีทของตน แถมยังถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมผ้ามันเลื่อมสีแดงขอบทองลายดอกกุหลาบสีเลือด หน้าถูกแต่งแต้มด้วยแป้งหอม ลำตัวพรมด้วยน้ำอบกลิ่นกุหลาบจนทำทุกคนที่เขาเดินผ่านต่างเหลียวมองตามๆ กัน นั่นทำให้เขาถูกแคทเธอรีน…คนดูแลประจำตัว…ดันหลังให้เดินไปยังห้องคุณชายของตระกูลเทอร์เนอร์เร็วๆ

เวลาที่เอ็ดดี้หวั่นเกรงมาตลอดมาถึงจนได้ ถึงปากจะบอกว่าเตรียมใจพร้อมแล้วแต่ขายังสั่นไม่เลิก เขามองบานประตูไม้ขัดมันที่ปิดสนิทแล้วยกมือเคาะ ไม่นานมันก็เปิดออก ไม่มีใครรออยู่ในห้อง

 

ติดตามต่อได้ในรวมเล่ม ABO Verse ThesNewt

Sample: [Theseus x Newt] Adamas

ABO Verse: Adamas

 

แค่จะบอกรักใครสักคนมันไม่ได้พูดยากอะไรขนาดนั้นหรอก แต่วิธีที่จะแสดงให้เขาเชื่อเนี่ยมันยากสุดๆ ยากแบบว่าเหงื่อตก เลือดออก ต้องแทบแลกชีวิตเลยล่ะ

สุดท้ายคนๆ นั้นก็เชื่ออ่ะนะ แม้ว่าหลังจากนั้นจะหนีตลอดเลยก็ตาม

ผมชื่อธีซีอุส สคามันเดอร์ ตอนนี้รับบทผู้กล้าผู้ซึ่งปราบมังกรมารและกอบกู้โลกแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์ให้รอดพ้นจากวิกฤตได้อย่างหวุดหวิด ผมได้รับการสรรเสริญจากชาวบ้านทุกผู้ทุกคน มีชื่อเสียงเลื่องลือดังไกลไปสามเมืองแปดเมือง พูดแบบรวบรัดคือต่อให้คุณเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอก แต่ถ้าถามว่าใครคือผู้กอบกู้โลกใบนี้ ชื่อของผมจะถูกพ่นออกมาทันทีแม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยก็ตาม คือแบบ…ผมดังมาก ดังสุดๆ น่าภูมิใจอยู่หรอก ถึงงั้นมันก็มีความตะขิดตะขวงใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน เวลาโดนชมหรือโดนเชิดชูมันรู้สึกแปลกๆ อยู่ในอกทุกที

เรื่องมันเป็นอย่างนี้

 เพราะนิวท์เป็นที่หมายตาของอัลฟ่ามากมายจึงทำให้เกิดเหตุการณ์อันเป็นตำนานขึ้นมา มังกรมารที่ชื่อกรินเดลวัลด์ซึ่งบินผ่านป่าที่นิวท์ชอบไปขลุกตัวอยู่บ่อยๆ ดันเกิดได้กลิ่นฟีโรโมนของนิวท์จนถูกใจขึ้นมา เจ้าตัวจึงโฉบลงมาพาตัวน้องของเขาไปขังไว้ในปราสาทของมัน โชคดีที่ผมเห็นจังหวะนั้นพอดี (ไม่ใช่เพราะผมแอบไปส่องน้องตัวเองหรอกนะ!) โชคร้าย มันร่ายมนตร์บังตาเอาไว้ผมเลยตามไปช่วยนิวท์เกือบไม่ทัน

ผมปราบมังกรมารลงได้ อันที่จริงก็แค่ปิดผนึกมันไว้ในอาคมกล้าแกร่งของตัวเอง แล้วพานิวท์ออกมาอย่างปลอดภัยถึงแม้น้องจะมีรอยข่วนหรือรอยโดนตบตีบ้างก็ตาม ไอ้มังกรเลวนั่น

หลังจากผมช่วยนิวท์เสร็จแล้วผมก็ชิงสารภาพรักกับนิวท์ทันที มันจะไปมีจังหวะไหนเหมาะเท่าจังหวะนี้อีกล่ะจริงมะ แต่คำตอบที่ได้กลับมาดันเป็น

“พี่อาจสับสนระหว่างรักแบบพี่น้องกับรักแบบคนรักก็ได้ครับ”

แล้วนิวท์ก็เดินกะเผลกจากไปทิ้งผมไว้กับความเคว้งคว้างตามลำพัง

 

“ผมอยากกลับบ้าน”

“ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

“ไปกินที่บ้านก็ได้นี่พี่”

ผมเลิกคิ้วมองนิวท์ที่ดูร้อนรนพิกล ทำอย่างกับว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างนั้นแหละ…หรือว่า

“นายกำลังจะฮีทงั้นเหรอ!?” ผมเผลอตะโกนเสียงดังทำเอาโดนปาขนมปังใส่หน้าเต็มๆ มันหล่นตุ้บไปอยู่บนตัก

“ไม่ใช่ครับ!” นิวท์รีบแย้ง หน้าแดงไม่หาย “ถึงต่อให้จะใช่ผมก็มียาอยู่กับตัว ไม่ต้องกังวลเกินเหตุหรอก”

“พึ่งยาทำไม พี่ชายอยู่ตรงนี้ทั้งคน” ผมบ่นอุบอิบ แล้วก็โดนขนมปังปาใส่หน้าอีกรอบ “โอ๊ย เอาของกินมาเล่นแบบนี้ได้ไง ตีซะทีดีมั้ย”

นิวท์ตวัดตามองทันที แววตาเหมือนสัตว์ล่าเนื้อที่นานๆ ทีจะเห็นมันทำผมชะงักและรู้สึกท้าทายไปพร้อมกัน หากว่าผมแหย่ให้นิวท์ตบะแตกมากกว่านี้ผมจะโดนทำยังไงบ้างนะ… อยากรู้จริงๆ เลยแฮะ ตื่นเต้นชะมัด

…อะแฮ่ม

“พี่ชายไม่กล้าทำนิวท์หรอก” ผมทำเสียงอ่อนแล้วกัดขนมปังก้อนไปอีกคำ “รักนิวท์นะครับ”

“รู้แล้ว”

“ที่ว่ารู้เนี่ยหมายความว่าในแบบของพี่น้องล่ะสิ ฟังนะ สำหรับพี่แล้วนิวท์น่ะ…”

“พี่ครับ” นิวท์พูดแทรกจนผมต้องหุบปากฉับ มองนิวท์ที่กำลังทำหน้าจริงจัง “ตื่นเสียที”

“…หื้ม?” งงเป็นไก่ตาแตกไปเลยฉัน

“ตื่นจากโลกความฝันได้แล้วครับพี่” นิวท์บอก พยายามทำน้ำเสียงให้ดูน่าเชื่อถือ แต่เพราะแววตาของเจ้าตัวเต็มไปด้วยความปวดร้าวผมถึงเชื่อไม่ลง แล้วมันก็ถูกรอยยิ้มกว้างจนตาปิดแทนที่ “เชื่อผมเถอะ”

“ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโลกความจริงหรือโลกความฝัน ฉันแยกแยะได้”

“พี่เอาอะไรมามั่นใจกัน”

“ตัวนายไง” ผมตอบเสียงฉะฉาน “ถ้านี่เป็นโลกความฝันทุกอย่างคงง่ายดายไปหมด นายคงรักฉัน เราคงแต่งงานมีลูกด้วยกันไปแล้ว จริงมั้ย” นิวท์เงียบเมื่อถูกผมพูดแทงใจดำ “ฟังนะ นิวท์ ฉันรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไร รู้สึกยังไง และทำอะไรอยู่ แล้วทุกอย่างที่ฉันทำไปทั้งหมดฉันทำไปด้วยใจจริง ไม่มีใครบังคับ ไม่มีคนมาสั่งให้ทำ ฉันบอกรักนายเพราะฉันรักนายแบบคนรักจริงๆ ไม่ใช่รักแบบพี่น้องอย่างที่นายพยายามยัดเยียดมาให้”

นิวท์ดูจะเถียงต่อไม่ได้จึงนั่งเงียบไปแล้ว อีกพักใหญ่ถึงขยับริมฝีปากน่าจูบพร้อมส่งเสียงออกมา

“พี่เป็นถึงผู้กล้าที่ปราบมังกรได้ เป็นอัลฟ่าที่สมควรมีคู่ครองผู้เหมาะสมมาอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ใครสักคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง เอาแต่หมกตัวอยู่ในป่า ไม่เป็นที่นับหน้าถือตาแถมยังดูธรรมดาอย่างผม”

“นายดูถูกตัวเองเกินไป นายอาจจะมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แต่ฉันมองเห็นมันนะ”

“พี่เคยบอกผมแล้ว” นิวท์มุดหน้าหนี ผมขยับโน้มตัวไปใช้สองมือประคองแก้มนุ่มให้เงยขึ้น มันอุ่นมากเลย สายตาของน้องชายที่ส่งมามีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ “แต่ผมยังยืนยันคำเดิม”

“งั้นเอาแบบนี้ดีมั้ย” ผมเสนอ “ถ้าภายในสองวันฉันพิสูจน์ได้ว่าฉันรักนายแบบคนรักจริงๆ นายต้องมาเป็นแม่ของลูกฉัน”

ดวงตาของนิวท์ไหววูบ ก่อนหลบมองทางอื่น ผมขยับหน้าไปจูบหน้าผากของน้องที่ตวัดตามองกลับมาทันที

“ไม่ตอบถือว่าตกลงนะครับ”

 

ติดตามต่อได้ในรวมเล่ม ABO Verse ThesNewt

Sample: [Theseus x Newt] Fate

ABO Verse: Fate

 

ผมลืมตาตื่น ภาพแรกที่เห็นคือนิวท์…น้องชายแท้ๆ ของตัวเอง…นอนหลับฝันดีอยู่ข้างๆ บนเตียงเดียวกัน เขาตัวเกือบเปลือยเปล่าถ้าท่อนล่างไม่มีผ้าขนหนูพันเอวอยู่ ผมยิ้ม ยกหลังมือขึ้นไล้ไปตามแก้มระไปด้วยรอยกระ ริมฝีปากเจ่อแดงจากการถูกดูดเม้มเผยอออกหายใจน้อยๆ

อดคิดไม่ได้เลยว่านี่คือความฝันหรือเปล่า ผมกับนิวท์นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ได้มีคืนแห่งความสุขด้วยกัน ได้รักกันอย่างที่เราสองคนปรารถนา ราวกับว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างพี่น้องเป็นเพียงคำต้องห้ามในกระดาษที่ฉีกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความจริงแล้วตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ผมกับนิวท์รักกันไม่ได้ เราละเมิดกฎศีลธรรมของสังคมแล้วปกปิดความรู้สึกของพวกเราเอาไว้ภายในบ้านหลังเล็กๆ ท้ายสวนของบ้านตระกูลสคามันเดอร์ ใช่ครับ ยอมรับกันตรงนี้เลย ผมกับนิวท์แอบลักลอบมีอะไรกันและรักกันมาได้สองสามปีแล้ว

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงความรู้สึกของเราสองออกไปตรงๆ ต่อหน้าสาธารณะ แม้แต่กับคนในครอบครัวเรายังต้องปกปิดให้มิดชิดที่สุดอย่างกับมันคือความผิดร้ายแรง ถ้าเป็นมุมมองของพ่อ แม่ เครือญาติ และคนข้างนอกนั่นก็คงใช่ แต่สำหรับพวกเรา ความรักไม่ใช่เรื่องผิด ฟังดูโลกสวยไปหน่อยแต่พวกเราคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมดีใจมากที่ได้เป็นอัลฟ่าคู่ชีวิตของนิวท์ และดีใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่านิวท์ยอมเป็นโอเมก้าของผม รอยกัดของผมยังเด่นชัดบนคอของน้องชายอยู่เลย

“อรุณสวัสดิ์” ผมทักเมื่อนิวท์ขยับแล้วกะพริบตาถี่ ต่อมาก็ลืมมันขึ้นมองผมพร้อมรอยยิ้มหวาน “นายดูหลับสบายมากจนน่าอิจฉาเลย”

“ธีนอนไม่หลับเหรอ” เสียงงัวเงียเอ่ยถาม แล้วมือเล็กก็ยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ ผมยิ้มแล้วเขยิบไปจูบหน้าผากคนขี้เซาแน่นและทิ้งไว้อยู่นานเลยโดนแซวแต่เช้าตรู่ “ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พี่อ้อนผมใหญ่เลย ฮ่ะๆ”

“ก็ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย พอได้อยู่ด้วยกันก็ชอบมีคนมาขวางตลอด ฉันเลยแสดงความรักกับนายไม่ได้ไง”

พูดจบผมก็คว้านิวท์เข้ามากอดแน่น ทำเสียงงอแงเป็นเด็กเอาแต่ใจแล้วไซ้หน้าบนแผงอกนิ่มไปมาจนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากคนในอ้อมแขน นิวท์บ่นว่าจั๊กจี๋แล้วขอให้หยุด แต่ผมยังทำเหมือนเดิม สัมผัสน้องชายให้หายคิดถึง รับรู้ถึงไออุ่นให้เต็มที่กับที่เสียไป ด้วยเหตุนี้ผมถึงชอบกอดนิวท์เป็นพิเศษ ไม่ว่าตอนนั้นจะอยู่ต่อหน้าสังคมหรือตามลำพังก็ตาม เพราะเราไม่รู้เลยว่าโศกนาฏกรรมมันจะเกิดขึ้นตอนไหน

 

ผมกลับบ้านมาเจอนิวท์นั่งอยู่ที่มุมห้องข้างทางเข้าห้องครัว ไฟทั้งบ้านปิดมืด มีเพียงแสงไฟจากนอกบ้านที่ช่วยทำให้ผมเห็นน้องตัวเองในโหมดซึมเศร้า สองเข่าถูกกอดแน่น หน้าก้มลงจนคอชิดอก เกิดอะไรขึ้นกับนิวท์กัน ทั้งที่ปกติจะเปิดไฟสว่าง ทำอาหารไว้รอ แล้ววิ่งมากอดผมเสียเต็มรักตลอด

“นิวท์?” ผมเรียก แต่น้องยังคงนั่งนิ่ง นี่เริ่มทำผมกังวลขึ้นมาแล้ว “นายดูแปลกไปนะ เกิดอะไรขึ้น”

ผมเดินไปเปิดไฟแล้วตรงเข้าไปหานิวท์ แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวของน้องชายเต็มไปด้วยการต่อต้าน เหมือนพวกสัตว์จรจัดที่ถูกทำร้ายมาอย่างสาหัสจนไม่สามารถไว้ใจใครได้อีก แต่ว่าผมคือพี่ชายของเขา ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้กัน

“นิวท์ นายกำลังทำฉันกังวล มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่เปิดไฟ ทำไมมานั่งซึมตรงนี้ มีใคร…”

“เรื่องจริงเหรอ” เสียงเศร้าโศกดังปนสะอื้นไห้ นิวท์เงยหน้าขึ้นแล้ว ดวงตาแดงก่ำจนบวมเป่ง จมูกและริมฝีปากแดงในเฉดเดียวกับแม่สี ร่างกายสั่นฮึกฮัก “ที่พี่กับลีต้า…หมั้นกัน”

แต่ละคำที่นิวท์พูดออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทั้งนั้น แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมน้องชายถึงได้ร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้ พอจะเดาได้ถึงสาเหตุที่ทำให้นิวท์ไม่อยากเข้าใกล้ผม เพราะหากเป็นผม ผมก็คงโกรธและเสียใจมากเหมือนกัน แต่มันก็มีเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจทำแบบนั้นอยู่

“เรื่องนี้มีเหตุผล ฉันต้องหมั้นกับลีต้าเพื่อไม่ให้พ่อกับแม่รู้ว่าเรากำลังคบกัน ทุกคนดูจะจับผิดสังเกตความสัมพันธ์ของเราได้กันคนละนิดละหน่อยแล้ว ฉันไม่อยากให้เรื่องของเราพังลง”

นิวท์เงยหน้ามองผมด้วยสายตารังเกียจ มันสะท้อนความเห็นแก่ตัวของผมเต็มๆ ซึ่งผมเถียงหรือแย้งไม่ออก ขอยอมรับกันตรงนี้ว่าที่ผมตัดสินใจหมั้นกับคนอื่นเป็นเพราะต้องการให้เรื่องของผมกับนิวท์ยังเก็บเป็นความลับต่อไป อย่างน้อยมีใครสักคนมาทำให้คนที่เริ่มจับได้ไขว้เขวบ้าง คนพวกนั้นอาจลืมเรื่องของผมกับนิวท์ไปเลยก็ได้ ยังไงเสียมนุษย์ก็สนใจแค่เรื่องซุบซิบนินทา คงไม่มีใครขุดคุ้ยเรื่องนั้นต่อหากรู้ว่าคดีมันพลิกจากที่ตัวเองคิดหรอก

ผมอ้าปากจะอธิบายให้นิวท์ฟังต่อแต่น้องชายกลับลุกพรวด เดินกระแทกไหล่ผมตรงไปยังประตูบ้าน ผมรีบก้าวยาวๆ ไปคว้าท่อนแขนเล็กแล้วดึงเข้ามากอด แต่นิวท์ก็ดันผมออกไปยืนเว้นระยะห่าง น้องชายกำลังร้องไห้เพราะผม แววตาโกรธเคืองอย่างถึงที่สุด

หัวใจมันปวดขึ้นมาจนอยากร้องไห้ตามเลย แต่ยังไงผมต้องรีบอธิบายเหตุผลและคุยกับนิวท์ให้เข้าใจก่อนที่เรื่องจะพังลงมากกว่านี้ ถ้าหากผมปกป้องความสัมพันธ์ของผมกับนิวท์เอาไว้ไม่ได้ ที่ทำลงทุนทำไปมันก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ

“นายฟังพี่ก่อน นิวท์” ผมอ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า “ขอเวลาแค่ห้านาที ได้มั้ย”

นิวท์ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมทำหน้าขอบคุณแล้วพูดในสิ่งที่อยากพูดต่อทันที

“ลีต้ารู้เรื่องของเรามาสักพักแล้ว และเธอยอมช่วยเป็นนกต่อกันพวกคนอื่นไม่ให้มายุ่งกับเรื่องของเรา การหมั้นกันของฉันกับเธอเป็นเพียงเรื่องหลอกสังคม มันไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น มันคือการหมั้นแค่ในนาม ยังไงตัวจริงของฉันก็คือนาย”

นิวท์ยืนเงียบ มองผมด้วยสายตาผิดหวัง บิดแขนตัวเองออกแล้วก้าวถอยหลังไปยืนเว้นช่องว่างจนไม่รู้ตอนไหนที่ผมถูกกำแพงล่องหนกั้นระหว่างผมและน้องเอาไว้ นิวท์ส่ายหน้าไปมา ร้องไห้หนักกว่าเดิมจนตัวโยน ประกายตาแตกร้าวจนผมนึกว่าภายในร่างกายสูงโปร่งนี้มีบางส่วนแตกหักไปแล้วจริงๆ นิวท์ดูแย่มากจนผมอยากเข้าไปกอดปลอบ ทว่าน้องกลับยิ่งหนีจนผมทำได้แค่ยืนอยู่กับที่พลางคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรืออย่างไร ทำไมนิวท์ถึงไม่โล่งใจกับความลับของเราที่ยังคงเป็นความลับต่อไป ผมผิดตรงไหนกัน

“พี่เคยคิดมั้ยว่า” นิวท์พยายามจะพูดทั้งที่สะอื้นตัวสั่น เสียงขาดห้วงเป็นช่วงๆ คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าทางปากแล้วพ่นมันออกมา ดวงตาแดงก่ำมองกันอย่างต้องการคำตอบ “เคยคิดมั้ยว่าจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา”

สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือเงียบ อึ้งจนสมองหยุดทำงานชั่วคราว คำถามง่ายๆ ที่นิวท์ถามออกมาช่างแทงใจดำเหลือเกิน

“แต่ผมเคยคิดนะ เคยเชื่อว่าสักวันเราจะได้บอกใครต่อใครว่าเราเป็นอะไรกัน ถึงมันจะดูผิดและน่าสะอิดสะเอียนสำหรับคนในสังคมก็เถอะ แต่ถ้าเราจับมือกันฟันฝ่าเรื่องทุกข์เหล่านี้ไปได้ มันก็ไม่น่ามีให้ต้องกังวลอีกไม่ใช่หรือครับ”

ผมสะอึกและสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่านิวท์จะมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวมาตลอด

“นิวท์ ฉันน่ะ…”

ผมพยายามจะพูด แต่ความกระดากอายในความขี้ขลาดของตนก็บีบให้พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนก้มหน้ามองปลายรองเท้าตัวเอง กำสองมือแน่น

ไม่มีบทสนทนาอะไรอีกต่อไป เสียงฝีเท้าดังจากไปอย่างไม่พอใจ ผมได้แต่มองแผ่นหลังที่คอยปกป้องอยู่เสมอจากไปโดยทำอะไรไม่ได้เยี่ยงคนอ่อนแอ

 

ติดตามต่อได้ในรวมเล่ม ABO Verse ThesNewt

[SF WINTERIRON] My Bitch (จบ)

Title: My Bitch (จบ)

Pairing: BUCKY x TONY [SF WINTERIRON]

Author: SaRa_PAO

Genre: Drama

Rate: PG

Note:

 

เพราะบาร์นส์ไม่รับโทรศัพท์ โทนี่จึงต้องบุกมาที่ห้องพักที่ของเจ้าตัวแทน

เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้งแต่มันไม่ขยับเลยสักนิด เหมือนว่าเจ้าของห้องจะไม่อยู่ โทนี่ตัดสินใจอยู่รออีกสักพัก เขาหันหลังพิงประตูพร้อมมองตรงไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูพอดี กะเอาไว้ว่าถ้าเห็นบาร์นส์เมื่อไหร่เขาจะวิ่งเข้าไปต่อยหมอนั่นให้สลบข้อหาทำให้เขาต้องคอย

เวลาที่ผ่านไปนานในความรู้สึกของโทนี่ไม่ได้ช่วยทำให้เขาเห็นการปรากฏตัวของบาร์นส์เลย โทนี่เริ่มใจคอไม่ดี เขาล้วงมือถือมากดโทรหาคนที่รออยู่ แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมรับสายเสียที และนี่มันทำเขาหงุดหงิด ความรู้สึกด้านลบต่างๆ เริ่มเข้ามามีอิทธิพลให้คิดมากกว่าเดิม และมันย้ำจนเขาเห็นชัดว่าเขากลัวโดนบาร์นส์บอกเลิกแค่ไหน เขากลัวการสูญเสียบาร์นส์แค่ไหน และอีกข้อที่สำคัญที่สุด มันทำให้เขารู้ว่าเขารักบาร์นส์มากแค่ไหน

โทนี่อ้อนวอนต่อบาร์นส์ในใจ หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ใจก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

“บาร์นส์” โทนี่เอ่ยเรียกชื่อคนตัวสูงเบาๆ เขาเม้มริมฝีปากก่อนหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทเช่นเคยอีกครั้ง โทนี่ลองเคาะประตูดูใหม่ “บาร์นส์ นายอยู่ข้างในมั้ย ถ้าไม่อยู่ก็บอกว่าไม่อยู่ด้วย”

เงียบ ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา

“ฉันอยากเจอนายนะเว้ย แล้วไหงถึงได้หนีกันไปแบบนี้ล่ะ นายน่ะ…หมดรักฉันแล้วงั้นเหรอ”

โทนี่แนบหน้าผากลงกับประตู เขาใช้มือขวาแนบมันเอาไว้เป็นที่ยึด วางจุดสายตาอยู่ข้างหน้าเหมือนสัตว์กินเนื้อที่จดจ่ออยู่กับเหยื่อ

“แต่ฉันรักนายนะ” โทนี่บอกประตู และหวังว่ามันจะสื่อไปถึงเจ้าของห้องห้องนี้ “ฉันรักนายแล้วจริงๆ” ยังคงไม่มีใครตอบอะไรกลับมา “ฉันไม่รู้ว่านายกับแม่ของฉันไปคุยอะไรกัน ฉันรู้แต่ว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาเป็นคนรักของฉัน ฉันต้องการแค่นายเท่านั้น บัคกี้”

ถ้าประตูมีปากแล้วตอบกลับมาได้ โทนี่คิดว่ามันคงบอกให้เขาล้มเลิกความตั้งใจเรื่องบาร์นส์ซะ แต่ใครจะยอมกัน ใครจะยอมปล่อยให้คนดีๆ หลุดมือไปกัน

“ฉันไม่ได้รักนายเพราะฉันขาดนายไม่ได้ แต่ฉันรักนายเพราะตัวนายเอง นายที่คอยดูแลเอาใจใส่ฉัน เห็นคุณค่าในสิ่งของที่ไร้คุณค่าแบบฉัน นายที่…รักฉัน”

เสียงของโทนี่เริ่มสั่น เขาสั่งให้ตัวเองเลิกขี้แยเสียที

“นายจะเลิกรักฉันฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่ขอให้เลิกรักฉันเพราะการกระทำของฉัน ไม่ใช่เพราะคำพูดของคนอื่น แล้วถ้านายคิดจะเลิกรักฉันแล้วจริงๆ ขอร้องล่ะ…อย่าหายไปแบบนี้เลย มาบอกกันดีๆ ก็ได้”

โทนี่สูดจมูก เขากะพริบตาถี่ ก้อนเนื้อในอกบีบรัดจนเจ็บไปหมด ช่องท้องเองก็เกร็งและบิดมวน มันยิ่งเพิ่มความทรมานให้มีมากขึ้นในใจ เขากำหมัดขวาแน่น ปลอบตัวเองให้ใจเย็นลงเพื่อพูดตามที่รู้สึก

“เปิดประตูให้ฉันหน่อยได้มั้ยบาร์นส์” โทนี่เอ่ยขอ เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูด้วยสีหน้าเว้าวอน “เหมือนที่ฉันเปิดประตูหัวใจให้นายแล้ว”

“จะเปิดได้ยังไงในเมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่” เสียงของบาร์นส์ที่ดังขึ้นด้านหลังทำโทนี่สะดุ้งโหยง เขาหันไปมองก็พบคนที่คอยมาตลอดยืนทำหน้ามึน เขาอ้าปากหวอด้วยความงุนงง “เฮ้ ร้องไห้ทำไม”

บาร์นส์ก้าวเข้ามาหา สองมือที่หิ้วข้าวของพะรุงพะรังยกขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาให้เขา แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองทำได้ไม่ถนัดก็วางของในมือลง ก่อนเอื้อมมืออันอบอุ่นเสมอมาหา โทนี่พุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น กระชับอ้อมแขนให้ตัวเองมั่นใจว่าบาร์นส์อยู่ด้วยกันในโลกความจริง ไม่ใช่แค่เขาที่คิดไปเอง

“โทนี่?”

“อย่าจากกันไปแบบนี้อีกนะ” โทนี่สั่งเสียงอ้อมแอ้ม “อย่าหายไปแค่เพราะคำพูดคนอื่นอีกนะ”

บาร์นส์เงียบ ไม่ยอมสวมกอดกัน ถึงโทนี่จะใจแป้วก็เถอะ แต่เขามั่นใจว่าเขาสามารถรั้งบาร์นส์เอาไว้ได้

“ถ้าจะเลิกรักหรือเลิกสนใจกัน ให้มันเป็นเพราะตัวฉัน ไม่ใช่คำพูดของคนอื่นที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรา”

“โทนี่ ฉันข่มขืนนายนะ ฉันบังคับนายให้มาร่วมหลับนอนกับฉัน แถมยังซาดิสม์อีก ฉันไม่ใช่คนดีพอที่จะดูแลนายได้หรอก”

“ข้อเท็จจริงนั้นฉันรู้ รู้ดีว่านายมันโรคจิตแค่ไหน” โทนี่บอก จิกกำเสื้อยืดด้านหลังของบาร์นส์เอาไว้แน่น “แต่เรื่องที่นายบอกว่านายไม่ใช่คนดีพอที่จะดูแลฉันได้มันไม่จริงเลย นายดูแลฉันได้เป็นอย่างดีถึงดีมากด้วยซ้ำ กับคนที่ทำร้ายนายทั้งทางร่างกายและจิตใจมาตลอดหลายปี นายไม่จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำดีด้วยก็ได้ แต่นายกลับปรนนิบัติต่อฉันราวกับฉันเป็นคนบนฟ้า”

“…”

“จากคนที่ไม่มีค่าอะไร นายกลับรับเอามาดูแล แล้วแบบนี้จะเรียกว่าไม่ใช่คนดีพอที่จะดูแลฉันได้อีกเหรอ”

โทนี่ผละตัวออกมองบาร์นส์ คนตัวใหญ่เบือนหน้าไปทางอื่น โทนี่ทำได้แค่ยิ้มบางๆ อย่างรู้คำตอบ

“ฉันไม่รู้ว่านายกับแม่พูดคุยอะไรกันแม่ถึงได้อยากให้ฉันเลิกกับนาย ไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องที่นายทำกับฉันได้ยังไง แต่ฉันเชื่อว่าตลอดเวลาที่นายคอยดูแลและปกป้องฉัน มันคือเรื่องจริงจากใจของนาย”

“ฉันเล่าทุกอย่างให้แม่ของนายฟังเอง ฉันไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้”

“งั้นนายก็มาทำดีไถ่โทษสิ ฉันรู้ว่าเรื่องข่มขืนมันเป็นประเด็นที่ยอมรับได้ยาก ให้อภัยได้ยาก แต่ว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าฉันไม่ตกลงปลงใจ”

“ฉันบังคับนายนะโทนี่”

“ถ้าฉันไม่ไปหานาย เรื่องนี้คงไม่เกิด” โทนี่บอกน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าจะผิดก็คงต้องผิดทั้งสองฝ่าย”

บาร์นส์ยังคงนิ่ง ก่อนคลี่ยิ้มแล้วดึงโทนี่เข้าไปกอดพร้อมฝังหน้าลงกับไหล่ลาด “ขอบคุณที่มาหาฉันนะ แต่เราคงกลับไปเป็นแฟนกันไม่ได้อีกแล้วล่ะ”

โทนี่ช็อก ดวงตาแข็งค้าง ปากเองก็เช่นกัน ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปทุกสัดส่วน เขาเหมือนกำลังจะทรุดไปนั่งลงบนพื้นหากไม่มีอ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดเอาไว้

“เพราะต่อจากนี้ไปเราจะกลายไปเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง”

…อะไรนะ?

“ไงนะ?” โทนี่ผลักบาร์นส์ออก เขาถามเสียงแข็ง “เมื่อกี้นายว่าพูดอะไรนะ”

“ฉันไปสู่ขอนายกับคุณแม่ของนายเอาไว้นานแล้ว และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังจริง ตอนแรกท่านโกรธมาก ฉันจึงแสดงให้ท่านเห็นว่าฉันไม่ได้ข่มขืนนายเพื่อทำร้ายจิตใจนาย จะอะไรก็ช่าง และฉันก็พิสูจน์จนแม่ของนายอนุญาตให้ฉันแต่งงานกับลูกชายของท่านได้ในที่สุด”

โทนี่มึนไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย เขาอ้าปากจะถามแต่ก็โดนบาร์นส์ใช้มือปิดเอาไว้

“ฟังก่อนสิ” บาร์นส์เอ็ด “แต่คุณแม่อยากดัดนิสัยนายบางอย่างเลยสร้างแผนนี้ขึ้นมา”

โทนี่รับข้อมูลทั้งหมดมาย่อยให้เข้าใจง่ายที่สุด ก่อนถึงบางอ้อเมื่อพบว่าตัวเองถูกหลอก ความโกรธเกิดขึ้นมาในอกเป็นอันดับแรก ก่อนความโล่งใจจะตามมาเป็นอันดับที่สอง เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรแสดงออกยังไงดี แต่ร่างกายกลับหัวเราะจนตัวโยน แม้จะมีน้ำตาซึมอยู่ทั้งสองหางตาก็ตาม

“ให้ตายสิ อยากต่อยนายชะมัด” โทนี่ค่อยๆ ทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง “ถึงอย่างนั้นก็ดีใจมากจนอยากกระโดดกอดนายเลย”

บาร์นส์ทรุดลงนั่งคุกเข่าตามโทนี่ “เฮ้ ฉันขอโทษนะ ฉันไม่น่าร่วมมือกับคุณแม่เลย ฉันน่าจะ…”

“ไม่เป็นไร” โทนี่บอก เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มกว้างทั้งน้ำตาให้บาร์นส์อย่างอารมณ์ดี “เพราะมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองรักนายมากแค่ไหน”

บาร์นส์หน้าบาน หูผึ่ง ระริกระรี้ขึ้นทันที

“นายพูดว่าไงนะโทนี่ เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ บอกใหม่อีกทีได้มั้ย”

โทนี่ส่ายหัว เขาแกล้งถลึงตาใส่คนขอมากแล้วหลบหน้าด้วยความเขิน บาร์นส์พยายามก้มมามองกัน ทำตัวอย่างกับเด็กวัยอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเขกมะเหงกลงกลางหัวเจ้าตัวดีไปหนึ่งที

“ไม่ต้องเลย นายทำฉันเสียใจนะ”

“ฉันขอโทษจริงๆ โทนี่” บาร์นส์บอก น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม “แล้วฉันก็มีอีกขอด้วยนะ”

โทนี่เงยหน้าไปเอียงคอมองคนตัวใหญ่ บาร์นส์ลุกขึ้นพร้อมพยุงให้เขาลุกตาม จากนั้นก็คุกเข่าลง

“แต่งงานกับฉันได้มั้ย”

บาร์นส์เอ่ยขออีกขอจริงๆ ตามคำพูดแล้วหยิบกล่องแหวนกำมะหยี่สีแดงมาเปิดออก ข้างในมีแหวนสีเงินสลักตัวอักษรแรกของชื่อพวกเขาทั้งคู่ไว้ตรงกลาง ระหว่างตัวอักษรมีหัวใจไขว้กันสลักไว้ ทุกอย่างช่างลงตัวสมกับวางแผนมาอย่างดีจริงๆ

โทนี่ถึงกับไปไม่เป็น เขินจนร้อนไปทั้งตัว หัวใจเต้นระรัวจนได้ยินเสียงชัดเจน ยิ่งมองบาร์นส์ที่นั่งคุกเข่ายื่นแหวนมาให้ตรงหน้าเขาก็ยิ่งเขินจนอยากจะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา และก่อนที่จะได้ทำแบบนั้นบาร์นส์ก็ยื่นแหวนมากดดันขอคำตอบ โทนี่ก้มหน้างุด สงบจิตสงบใจตัวเองสักพักก็หันกลับไปมองบาร์นส์แล้วตอบตกลงเสียงหนักแน่น

“ครับ”

บาร์นส์พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วรีบสวมแหวนให้ ก่อนจะก้มหน้าลง ตัวสั่นฮึกฮัก แล้วโผเข้ากอดเอวโทนี่พร้อมซุกหน้าลงกับหน้าท้องมีกล้ามพอให้เห็นบ้าง

“ปะ…เป็นอะไรไปน่ะบัคกี้ เฮ้?”

“ดีใจน่ะ ดีใจจนต้องร้องไห้ออกมาเลย” บัคกี้ตอบเสียงอู้อี้ โทนี่อดหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้ “หัวเราะอะไรของนาย”

“ก็นายทำอย่างกับเด็ก จะเป็นสามีของฉันอยู่แล้ว”

“ก็มันดีใจนี่” บาร์นส์บอก กระชับกอดเอวคอดแน่น “ในที่สุดนายก็มาเป็นของฉันจริงๆ เสียที”

โทนี่อมยิ้ม ก้มลงไปจูบกระหม่อมของบัคกี้พร้อมลูบหัวว่าที่สามีขี้แยเบาๆ คิดถูกหรือผิดกันนะเนี่ย ก่อนเอ่ยบอกในสิ่งที่อยากพูดมาตลอด

“ขอบคุณสำหรับความรักที่นายมีให้ฉันมาเสมอ เจมส์ บาร์นส์”

 

 

 

THE END
17/11/2018

[Stephen Strange x Tony Stark] Teacher

Title: Teacher

Pairing: Stephen Strange x Tony Stark

Author: SaRa_PAO

Genre: Omegaverse // Porn without plot

Rate: R-18

Note: ทิชชู่มีขายหน้าเพจนะครั—

37119455_1852260014835512_8262384503217979392_ocivilwar-youngtonystark-1280jpg-fe155f_1280w

“ครูครับ ช่วยสอนผมหน่อยสิ”

คำเรียกร้องด้วยน้ำเสียงยั่วยวนอย่างจงใจมิปิดบังนั้นทำผู้ถูกร้องขอคิดหนัก ท่าทางเชิญชวนที่ส่งมาตรงๆ ของนายน้อยตระกูลดังผู้เป็นนายเหนือหัวของตนทำให้สตีเฟ่น สเตรนจ์ ผู้ครอบครองตำแหน่งจอมเวทและมหาปราชญ์เหงื่อตก จังหวะการเต้นของชีพจรหนักขึ้นหลายระดับจนได้ยินชัดในโสตประสาท เลือดในกายร้อนรุ่มไม่ต่างกับการถูกเผาด้วยเปลวเพลิงสาปแช่งเมื่อหลายปีก่อน ก่อนจะได้ผู้มีพระคุณช่วยเอาไว้ทันท่วงที โทนี่ สตาร์ค หรือก็คือลูกศิษย์ตัวแสบที่นั่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งเนื้อผ้าบางบนเตียงนอนของเจ้าตัว

“นายน้อยไม่ควรทำแบบนี้ ใส่เสื้อผ้าแล้วกลับมาตั้งใจเรียนได้แล้ว และผมจะไม่เตือนอีกเป็นครั้งที่สาม”

“แล้วถ้าฉันไม่ทำตามนายจะทำยังไง” โทนี่เอียงคอถามตาแป๋ว ก่อนลุกขึ้นเดินเยื้องย่างลงจากเตียงมาหาเขา แล้วหยุดยืนห่างออกไปไม่ถึงครึ่งก้าวพร้อมยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของเขาพลางยื่นหน้ามากระซิบถาม “จะลงโทษฉันเหรอ”

ลมหายใจของผู้เป็นครูกระสับกระส่ายเมื่อได้กลิ่นฟีรีโมนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโอเมก้าโชยมาจากตัวของคุณหนูตรงหน้า สตีเฟ่นอยากเบี่ยงหน้าหลบทว่าร่างกายกลับไม่ยอมทำตามความคิด จิตสำนึกข้างใต้แสดงออกถึงความต้องการอันมหาศาลซึ่งส่งผลให้ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน ความต้องการที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้มีพระคุณถูกจุดทีละน้อยเหมือนเทียนไขในห้องมืดสนิท และถ้าเมื่อไหร่พวกถูกจุดขึ้นครบทุกเล่มล่ะก็เขาคงได้กระโจนเข้าขย้ำชายคนนี้จมเขี้ยวแน่นอน

“คุณเองก็น่าจะทราบคำตอบดีอยู่แล้ว” สตีเฟ่นบอกเด็กหนุ่ม ใบหน้าหวานคล้ายตุ๊กตางอง้ำเล็กน้อย เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมามากเกินไปแล้ว “ถอยออกไปด้วย”

“กล้าพูดกับเจ้านายของตัวเองแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่มีฉันล่ะก็ป่านนี้นายตายไปแล้ว”

“ก็จริงอยู่ที่พลังลบล้างคำสาปของคุณช่วยให้ผมยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่การที่ผมเตือนคุณไม่ถือว่าเป็นการทำตัวเสียมารยาทนะ”

โทนี่อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับเปลี่ยนเป็นยิ้มไม่น่าไว้วางใจแทน สองแขนเล็กขยับแน่นขึ้นก่อนริมฝีปากอวบอิ่มจะเขยิบมาแตะบนริมฝีปากของเขา สตีเฟ่นรีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที เขาต้องข่มใจไม่ผลักเจ้านายลงบนเตียงแล้วทำเรื่องล่วงเกินอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างหนัก

“สตีเฟ่น”

“ครับ?”

“ฉันไม่ชอบเวลานายขัดใจฉัน”

“ผมเองก็ไม่ชอบเวลาคุณดื้อเหมือนกัน”

เมื่อตั้งสติได้สตีเฟ่นก็ยอมหันกลับไปเผชิญหน้ากับโทนี่ที่หน้าบูดบึ้ง เขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำผึ้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นเอาจริง และเขาเชื่อมั่นมากว่าคุณชายตรงหน้ารู้ความคิดของเขา ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามยั่วให้เขาตบะแตก พอจะรู้อยู่ว่าสาเหตุที่ทำให้โทนี่เป็นแบบนี้คืออะไรก็เถอะ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกไงว่าต้องข่มใจไม่ทำอะไรที่จะส่งผลเสียอันใหญ่หลวงในอนาคต

“ก็ได้ งั้นมาคุยกันตรงๆ” โทนี่ผละออกไปยืนกอดอก “ตอนนี้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัว ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร แต่ฉันหยุดคิดเรื่องเซ็กส์ไม่ได้ แล้วฉันก็ไม่เคยมีมันมาก่อนตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบหก”

“ครับ”

“และในฐานะที่นายเป็นครูของฉัน ฉันขอสั่งให้นายสอนฉันว่าต้องจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไง”

อ่า… ถึงเวลาของวัยรุ่นแล้วสินะ

สตีเฟ่นคิดหนักกว่าเดิมเมื่อต้องสอนเรื่องอย่างว่าให้นายน้อยของเขา ความจริงแล้วเขาไม่ได้รังเกียจหรือเขินอายที่จะพูดถึงทฤษฎีหรอก มันเป็นเพราะกลัวตัวเองเผลอลงมือสอนภาคปฏิบัติมากกว่า

“ผมจะไปหาหนังสือมาให้อ่าน เสร็จแล้วคุณทำตามที่ในนั้นเขียนซะ”

“เอาจริงดิ?” โทนี่ถามเสียงหลง “สตีเฟ่น~”

“ไม่ต้องมาทำเสียงงอแงเลยครับ” สตีเฟ่นดุด้วยใบหน้าจริงจัง แล้วต้องชะงักเกือบวูบเมื่อเกิดโลกหมุนกะทันหัน เลือดในกายเดือดพล่าน ร่างกายหนักอึ้ง แถมยังมีปฏิกิริยาต่อฟีโรโมนที่โทนี่แพร่ออกมาอีก

“สตีเฟ่น?”

“ผมจะรีบไปหาหนังสือมาให้” สตีเฟ่นบอกแล้วเบี่ยงตัวเดินไปทางประตู แต่กลับต้องหยุดเอื้อมมือไปจับที่จับประตูเมื่อถูกกอดเข้าเต็มแผ่นหลัง ความร้อนจากกายเล็กซึ่งส่งมาถึงเขานั้นยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบให้พุ่งขึ้นสูง “นายน้อย อย่าทำแบบนี้”

“ก็นายหันหลังให้ฉันทำไม”

“เพื่อความปลอดภัยของคุณ คุณไม่ควรถูกอัลฟ่าแบบผมพรากสิ่งสำคัญแรกไป ควรเป็นคนที่คู่ควรกับคุณ”

“พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจสักนิด” โทนี่กระชับกอดแน่นกว่าเดิม แล้วเสียงสะอื้นก็หลุดออกมาเบาๆ “ที่รู้มีแค่ฉันต้องการสตีเฟ่นนี่นา”

“!!!”

คนเป็นครูถึงกับหันไปมองด้านหลังทันที แล้วสตีเฟ่นก็เจอนัยน์ตากลมโตฉ่ำไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ ริมฝีปากอวบอิ่มแดงสดกว่าเดิม บวกกับแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อยิ่งทำให้สตีเฟ่นหมดความอดทนเข้าไปใหญ่ อารมณ์กับเหตุผลในตัวตบตีกันวุ่นวายไปหมด จนกระทั่งคำร้องขอด้วยใบหน้าเว้าวอนของโทนี่หยุดพวกมันไว้

“ช่วยสอนผมให้รู้จักเซ็กส์แบบผู้ใหญ่ทีนะครับ คุณครู”

 

จากตอนนั้นก็ห้าปีแล้วที่สตีเฟ่นเข้ามาเป็นครูส่วนตัวของนายน้อยตระกูลสตาร์ค ตระกูลดังอันดับหนึ่งในย่านชิลด์ของเมืองอเวนเจอร์ส ไม่มีใครไม่รู้จักผู้กุมอำนาจทางการเงิน อำนาจทางการทหาร และอำนาจผู้ปกครองอย่างแน่นอน

การพบกันของเขากับโทนี่ไม่เป็นที่น่าจดจำนัก เขาถูกเล่นงานด้วยคำสาปจากจอมมารแห่งโลกมืด แล้วโทนี่ก็ปรากฏตัวมาช่วยกลืนกินคำสาปนั้นให้ เขารอดชีวิต ส่วนโทนี่ถูกพรากเวลามีชีวิตลง

เข้าใจกันไม่ผิดหรอก โทนี่เป็นคนรับเอาคำสาปนั้นเข้าไปไว้กับตัวเอง เป็นสกิลอันตรายซึ่งร้อยปีจะมีหลุดมาเกิดสักครั้ง นั่นทำให้โทนี่ถูกเลี้ยงดูอย่างไข่ในหิน ถูกปกป้องทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันถึงขั้นสิ้นชีวิต นอกเหนือจากนั้น ความซวยของโทนี่ยังมีเพิ่มอีกอย่าง หมอนี่เป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในตระกูล (ถ้าไม่นับคนที่แต่งเข้าตระกูลมา)

สตีเฟ่นมาอยู่กับโทนี่เพื่อตอบแทนบุญคุณ เขารับปากกับฮาเวิร์ดว่าจะปกป้องดูแลโทนี่ให้ดีที่สุด จึงทำให้เขากลายมาเป็นผู้ติดตามของโทนี่ในฐานะครูอย่างที่กล่าวไปแล้ว

ดังนั้น หากนับการอยู่ร่วมกันมาหลายปีทำให้เขามองออกว่าโทนี่นั้นแสบแค่ไหน อย่างเช่นเรื่องเมื่อกี้ที่เจ้าตัวแกล้งบีบน้ำตาเพื่อให้เขาสมยอมเช่นกัน

“สตีเฟ่น” เสียงแหบพร่าดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อแผ่นอกเนียนขาวถูกไล้สัมผัส ใบหน้าหวานเหยเกเล็กน้อยเมื่อโดนความเสียวซ่านเล่นงาน “นี่ นายเคยมีเซ็กส์มาก่อนมั้ย”

“ครับ ผมไม่ใช่คุณหนูเวอร์จิ้นอย่างนายน้อยนี่ครับ” แขวะจบก็ส่งยิ้มให้คนที่ถลึงตาโตทันที “ผมสอนแล้วก็จำไว้ด้วยแล้วกัน คราวหลังจะได้ไม่ต้องมาพึ่งผมอีก”

“อ๋อเหรอ” โทนี่ขึ้นเสียง สตีเฟ่นหยุดมือที่สัมผัสไปตามผิวกายเนียนละเอียดแล้วเงยหน้าสบตาคนมองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ กระนั้นในดวงตาคู่สวยปรากฏความเสียใจเอาไว้ด้วย “ตอนแรกนึกว่านายจะมีดีอะไรกว่านี้ซะอีก แต่เห็นแค่จับนู่นลูบนี่ไม่ใช่เหรอไง แค่นี้ไม่เห็นจะเอาไหนสักนิด”

คำพูดของคุณหนูร้ายเดียงสามันชวนให้สตีเฟ่นของขึ้นจริงๆ แต่เขาก็บอกตัวเองให้เลิกใช้อารมณ์แล้วพุ่งเป้าไปที่การช่วยให้โทนี่สบายตัวจะได้ออกไปจากห้องนี้เร็วๆ รวมถึงเขาจะได้ไปจัดการตัวเองให้กลับมาสงบอีกครั้งด้วย

“เก่งแต่ปากล่ะสิครับคุณครู” คำพูดประชดประชันกับท่าทางเหยียดหยามของโทนี่ทำเส้นความอดทนของสตีเฟ่นขาดผึง เขาจ้องคนใต้ร่างไม่วางตา “คนเคยทำเขากากแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่—อึ้ก!”

สตีเฟ่นบีบเม็ดทับทิมที่กึ่งแข็งตัวเต็มแรงเป็นการเตือนคนปากดี โทนี่หลับตาปี๋แล้วปรือขึ้นช้าๆ มองเขาที่ผละออกไปร่ายเวทแยกร่างให้มีสองคนก่อนดึงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้ลุกขึ้นนั่ง

“สะ…สตีเฟ่น”

“ในเมื่อนายน้อยอยากเรียนวิชาเซ็กส์ศึกษานัก เดี๋ยวผมจะสอนให้ถ่องแท้เองครับ”

 

“อ๊ะ…อ๊า อึ้ก สตีเฟ่น เดี๋ยว”

สตีเฟ่นตัวจริงมองใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเสียวกระสันของโทนี่ด้วยแววตานักล่า เขาก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานอันเป็นสัญลักษณ์ของโอเมก้าเข้าเต็มปอด แล้วแลบลิ้นเลียจากต้นลำคอระหงส์ลงมาถึงแผ่นอกนวล สองมือปัดป่ายไปตามเอวคอดและหน้าท้องแบนราบที่เกร็งกระตุกตามแรงอารมณ์ ก่อนมาหยุดแวะชิมเม็ดทับทิมซึ่งชูชันตอบสนองลิ้นของเขาเป็นอย่างดี มันแข็งขืนขึ้นจนตั้งตรงและเป็นสีชมพูสดกว่าเมื่อตอนแรกที่เห็นนัก มหาปราชญ์กัดมันเป็นการหยอกเย้าปนลงโทษคนพูดมาก ก่อนใช้มือซ้ายเลื่อนขึ้นถูไถเม็ดทับทิมอีกฝั่งซึ่งแข็งขึ้นสู้มือเขาอย่างรวดเร็ว

“เจ็บ… ฉันเจ็บ”

โทนี่ก้มหน้าลงมาร้องบอก สตีเฟ่นผละออกเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานซึ่งสองแก้มอาบน้ำตา แล้วกระตุกยิ้ม เขาเพิกเฉยคำบอกของโทนี่ ก้มลงสลับไปเล่นกับเม็ดทับทิมอีกฝั่งแล้วเม้มดูดแรงๆ เพียงสี่ห้าครั้งก็มีน้ำนมไหลออกมา แต่ไม่มากนัก จอมเวทตกใจเล็กน้อยกับร่างกายของเด็กหนุ่มซึ่งดูเพียบพร้อมต่อการมีลูกมากเกินไป ก่อนไล่เลียชิมน้ำรสเฝื่อนซึ่งไหลออกมาอีกสองสามครั้งก็หยุด ถึงจะรู้สึกแปลกไปหน่อยแต่อร่อยดีทีเดียว

เล่นด้วยได้สักพักสตีเฟ่นก็ขยับมานั่งตัวตรงให้โทนี่พักหายใจ แผ่นอกนิ่มสีขาวตัดกับเม็ดทับทิมแดงช้ำทั้งสองข้าง หน้าท้องแบนราบขยับคร่อมจังหวะหายใจ แถมตรงท้องน้อยยังเกร็งอีกด้วย ทว่าส่วนสำคัญคือแก่นความเป็นชายที่แข็งขืนขึ้นและเริ่มมีน้ำปริ่ม เขายิ้มก่อนเขยิบไปใช้นิ้วแตะด้านบนเบาๆ

คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ใบหน้าหวานดูหวาดหวั่นและกลัวในอะไรบางอย่าง มันทำสตีเฟ่นหลุดขำด้วยความเอ็นดู เห็นแบบนี้มันอดแขวะไม่ได้จริงๆ

“กลัวเหรอครับนายน้อย ไหนตอนแรกวางท่ามาดมั่นอย่างกับคนชำนาญการไงครับ ผมก็นึกว่านายน้อยจะเตรียมพร้อมกับเรื่องพวกนี้ไว้แล้วเสียอีก ยังอ่อนหัดอยู่นะครับ”

“หุบปากเถอะ”

“นายน้อยมาช่วยหุบให้ผมสิ”

พูดจบสตีเฟ่นก็เขยิบไปจูบริมฝีปากอิ่ม เขาแทรกลิ้นเข้าไปพัวพันกับเรียวลิ้นเล็กซึ่งตอบกลับมาเก้ๆ กังๆ เขาไม่ได้ว่าหรือสนใจติเตียนในจูบแรกของเด็กตรงหน้า จอมเวทค่อยๆ ไล่เลียไปทั่วโพรงปากนุ่มเพื่อสำรวจโพรงปากอุ่นที่กักเก็บน้ำหวานเอาไว้ เขาหยอกเย้าและมีถอยบ้างเพื่อดูว่าโทนี่จะไล่ตามมาหรือไม่ พอพบว่ามันเป็นดั่งที่หวัง คือนายน้อยไล่ตามเขาอย่างไม่ประสีประสา เขาก็ยิ้มกริ่มในใจพร้อมมอบจูบรุนแรงมากขึ้น ทั้งดูดเม้มริมฝีปากอิ่มจนเกิดเสียงให้ได้ยิน ทั้งแลกเปลี่ยนความต้องการผ่านปลายลิ้น

เมื่อโทนี่ตกลงอยู่ในห้วงตัณหาสตีเฟ่นก็ให้ร่างแยกที่รออยู่เข้ามาซ้อนด้านหลังคนตัวเล็ก จากนั้นเขาค่อยๆ กดเอวคอดให้ช่องทางอ่อนนุ่มกลืนกินนิ้วกลางกับนิ้วนางของร่างแยกตัวเอง

“อื้อ! อึ้ก!” โทนี่เบ้หน้าพร้อมขบริมฝีปากล่างแน่น สองมือยกจิกสองต้นแขนของสตีเฟ่นเป็นที่ยึด “จะ…ฮึก เจ็บ สตีเฟ่น”

“หายใจลึกๆ” สตีเฟ่นบอก เขาประคองเอวของคนสั่นเกร็งไปทั้งตัว คิดถูกยังไงไม่รู้ที่ตัดสินใจใช้แค่นิ้ว “เดี๋ยวนายน้อยจะดีขึ้นเอง”

ร่างแยกเริ่มขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ เป็นการทำความคุ้นเคยให้โทนี่ ร่างเล็กมีท่าทีผ่อนคลายลงแล้ว เสร็จปุ๊บก็กดสะโพกลงลึกกว่าเดิมจนมิดในที่สุด ไม่รอช้า สตีเฟ่นใช้มือของตัวเองกอบกุมแก่นกายเล็กซึ่งขยายใหญ่เพิ่มแล้วขยับขึ้นลงไปพร้อมๆ กับที่โทนี่และร่างแยกประสานจังหวะร่างกายกันเป็นหนึ่ง

กลิ่นฟีโรโมนของโทนี่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องเมื่อความต้องการของเจ้าตัวมีมากขึ้น มากขึ้นจนไม่รู้จุดจบ มันเริ่มทำสตีเฟ่นหัวหมุนและขาดสติควบคุมตัวเองช้าๆ เขาทั้งอยากพุ่งไปกัดลำคอขาวเนียนตีตราความเป็นเจ้าของชายคนนี้พอๆ กับอยากวิ่งหนีออกจากห้องให้เร็วที่สุด ยิ่งเห็นเรือนร่างงดงามขยับด้วยใบหน้ารื่นรมย์ระคนสุขสันต์เขายิ่งอยากให้ทุกอย่างนี้จบลงเร็วๆ

แล้วความหวังของสตีเฟ่นก็เป็นจริงในที่สุด โทนี่กระตุกเกร็งปลดปล่อยน้ำรักออกมาแล้วเงยหน้ามองเขา ริมฝีปากเล็กโกยอากาศเข้าปอด ทุกอย่างคงจบแล้ว

จอมเวทเรียกร่างแยกกลับเข้ามาในกายแล้วยกมือขึ้นจะลูบกลุ่มผมนุ่ม แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาหวานเยิ้มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำแห่งความต้องการซึ่งยังไม่มอดสนิท ก่อนโอเมก้าจะโถมตัวประกบจูบเขาอย่างเอาแต่ใจและเรียกร้องความสนใจ

การจูบในครั้งนี้เป็นไปได้ราบรื่นกว่าครั้งแรกมาก โทนี่ตวัดลิ้นพัวพันกับลิ้นของเขาได้ชำนาญกว่าตอนต้น แต่ยังต้องฝึกอีกเยอะ และแน่นอนว่าคนสอนต้องเป็นเขาเท่านั้น หากว่ามันมีโอกาสให้ทำอีกน่ะนะ สักพักใหญ่คนตัวเล็กถึงถอนริมฝีปากออก

“ทำไมมันไม่ดีขึ้นล่ะ” โทนี่ถามอย่างเป็นกังวลด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ครูครับ ทำไมผมกลับต้องการครูกว่าเดิม”

สตีเฟ่นตอบไม่ได้ เขาพยายามคิดหาคำอธิบายสมเหตุสมผลแต่ก็โดนกลิ่นกายของโทนี่รบกวน กลายเป็นว่าตอนนี้เขารวบรวมความคิดให้แน่วแน่อยู่ที่ใดที่หนึ่งไม่ได้แล้ว แถมยังอยากกลืนกินโทนี่ใจแทบขาดรอนๆ ช่วงกลางลำตัวอึดอัดคับแน่นไปหมด

“สตีเฟ่น ช่วยฉันที”

“โทนี่ เดี๋ยวฉันจะใช้นิ้วช่วยนาย ส่วนนายก็ใช้มือ…”

“ไม่” โทนี่ปฏิเสธเสียงแข็งตั้งแต่ยังฟังไม่จบ “ฉันอยากได้อะไรที่มากกว่านิ้ว เมื่อกี้ก็ลองนิ้วแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ามันช่วยฉันคงเสร็จไปนานแล้ว”

“งั้นฉันจะใช้นิ้วจนกว่านายจะเสร็จ”

ฉันอยากได้นาย!” โทนี่ตะโกนอย่างเด็กถูกตามใจจนเสียคน “นายเข้าใจความหมายฉันใช่มั้ย”

ใช่ ในฐานะของมหาปราชญ์แล้วเขาย่อมรู้ความนัยนี้อย่างแน่นอน เพราะงั้นเขาถึงได้นั่งคิดไม่ตกอยู่อย่างนี้ว่าควรทำยังไงกับคำขอแสนดื้อดึงนี้ดี ใจหนึ่งเขาอยากทำให้โทนี่ตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว อีกใจกลับอยากให้ระยะห่างของตัวเองกับโทนี่ยังเหมือนเดิม ยังไงซะโทนี่ก็เป็นผู้มีพระคุณของเขา การทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจมันช่างทำกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“สตีเฟ่น นายไม่ต้องการฉันงั้นเหรอ”

“ถามอะไรของคุณ”

“ก็นายเอาแต่ผลักไสฉันตลอด ดุฉัน ใจร้ายกับฉัน ทั้งที่ฉันพยายามเข้าหานายตั้งหลายครั้ง”

“…”

“นายไม่รู้เหรอไอ้มหาปราชญ์จอมทึ่มว่าฉันคิดยังไงกับนาย” แล้วโทนี่ก็ถามในสิ่งที่สตีเฟ่นกลัวที่สุดออกมา เขามองนัยน์ตากลมโตอย่างคนอับจนคำตอบ ทำได้แค่นั่งโดนด่าต่อไป “เป็นถึงผู้ชาญฉลาดแต่เรื่องแค่นี้กลับไม่รู้นี่นะ? เชื่อเขาเลย งั้นจะบอกให้ฟังเอง”

“นายน้อยครับ ขอเถอะอย่า…”

“ฉันชอบนายไงเล่า ฉันชอบนาย”

สตีเฟ่นใบ้กินเรียบร้อย เขามองเด็กบริสุทธิ์ซึ่งเพิ่งสารภาพรักออกมาอย่างซื่อตรงและห้าวหาญด้วยความรู้สึกนับถือจากใจ ถึงอย่างนั้น…

“แต่ผมเป็นได้แค่ผู้ติดหนี้บุญคุณ แถมคุณพ่อคุณยังฝากฝังคุณไว้กับผมอีก เขาเชื่อใจผม ผมไม่กล้าหักหลังเขาหรอก”

“ฉันรู้!” โทนี่ตะเบ็งเสียง “ทั้งที่รู้ว่านายเว้นระยะห่างกับฉันเพราะอะไรฉันก็ยังชอบนายอยู่ดี แถมยังเชื่อว่าสักวันฉันจะทำให้นายคิดเหมือนฉันได้ ถึงแม้จะเจ็บปวดทุกครั้งกับการหลอกตัวเองโง่ๆ แบบนี้ก็ตาม”

สตีเฟ่นมองคนซึ่งไม่หลบหน้าเขาสักนิด ภายในแววตาแน่วแน่ดุจเหล็กกล้าของโทนี่ไม่มีคำโป้ปดหรือความลังเลแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านักเรียนของเขาจะกล้าหาญและหัวแข็งกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว

‘ไปอยู่ด้วยกันมั้ย’

‘คุณหนูไม่ควรมาช่วยผม แถมการรับเอาคำสาปไปเองทั้งหมดนั่น…’

เหอะ! ตอนเห็นคนกำลังจะตายร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้าเป็นใครจะมามัวลังเลอยู่ได้กัน

บทสนทนาในอดีตดังขึ้นในหัวของสตีเฟ่นทุกครั้งที่เขาเกิดลังเลขึ้นมายามใดก็ตาม มันเหมือนมาเพื่อเตือนสติและเพิ่มความกล้าหาญให้เขาเสมอ แถมมันยังช่วยเพิ่มความหนักแน่นให้กับความคิดเห็นแก่ตัวของเขาอีกด้วย เพราะเหตุนี้เขาจึงยอมลดกำแพงอัตตาลงแล้วยืดอกยอมรับความรู้สึกในใจที่มีต่อนายน้อยสตาร์ค ต่อให้สุดท้ายแล้วอนาคตของเขากับโทนี่จะเต็มไปด้วยขวากหนาม เขาก็จะจับมือพาโทนี่ฟันฝ่าพวกมันออกไปเจอทางโรยด้วยกลีบกุหลาบให้ดู

“นายน้อยนี่ดื้อไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ”

“เรื่องของฉัน ฉันเป็นแบบนี้แล้วครูยุ่งอะไรด้วย”

“เพราะงั้นผมถึงเป็นคนเดียวที่มีสิทธิกำราบคุณไง”

สตีเฟ่นไม่รอให้โทนี่พูดอะไรกลับมา เขาประกบจูบส่งมอบความรู้สึกท่วมท้นทั้งหมดในอกไปให้ถึงเด็กหนุ่มในอ้อมแขนแล้วเลื่อนมือปลดกระดุมกับซิปกางเกงตัวเอง ต่อมาค่อยถอนจูบออกมองคนเหงื่อตก

“ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บ ผมสัญญา”

 

เสียงหอบหายใจที่ปะปนไปกับเสียงโยกของเตียงดังคละเคล้ากันไปทั่วห้องหรูของคุณชายตระกูลสตาร์ค ไอร้อนระหว่างชายสองคนซึ่งกำลังบรรเลงเพลงรักร้อนแรงบนที่นอนนุ่มนั้นทำให้บรรยากาศภายในห้องระอุไปด้วยไฟราคะ กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าและอัลฟ่าต่างกระตุ้นกันและกันสุมเพลิงแรงอารมณ์ให้โหมกระพือจนแทบลุกไหม้คนทั้งคู่

สตีเฟ่นเอื้อมไปจับขอบหัวเตียงแล้วกระแทกกระทั้นความเป็นชายของตนเข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มซึ่งตอมรับอย่างดี เสียงน้ำชื้นแฉะดังเป็นจังหวะรับกับการตอบสนองทางกายของนายน้อยที่จิกทึ้งหมอนในอ้อมแขนไม่หยุด ความเสียวซ่านซึ่งมาพร้อมความสุขที่ไม่เคยได้รับจากที่ไหนมาก่อนระเบิดไปตามเส้นเลือด โทนี่อยากและต้องการสตีเฟ่นเพิ่มเป็นทวีคูณเหมือนดั่งที่สตีเฟ่นเองก็ต้องการเขาเช่นกัน เรียกได้ว่าทั้งสองช่วยเติมเต็มความสุขสมให้อีกฝ่ายได้อย่างไร้ที่ติราวกับถูกสร้างมาเพื่อเป็นของกันและกัน

“สตีเฟ่น” เสียงหอบกระเส่าร้องเรียกพร้อมเอ่ยขอ “ฉันอึ้ก เสียว ขอมากกว่านี้ มากกว่านี้ได้มั้ย”

ไม่มีคำตอบใดกลับไป สตีเฟ่นโถมตัวเข้าใส่คนที่ต่อมาครางไม่หยุดด้วยความสุขสม เขาผละมือออกมาจับสองไหล่ลาดแล้วก้มลงไปกระซิบใกล้ใบหูแดงก่ำ

“อย่างน้อยผมก็เป็นครูของคุณนะ ให้เกียรติตอนขอหน่อยสิ”

“ยัง…ไง”

“อ้อนวอนผมเหมือนตอนแรกที่คุณทำสิ นายน้อย”

โทนี่เงียบไปสักพักแล้วจึงทำตาม สตีเฟ่นแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ดวงตาพราวระยับคล้ายกับงูยามกำลังจะเขมือบเหยื่อ ภายในหัวของเขามีแต่ภาพ เสียง กลิ่น และสัมผัสของโทนี่ลอยเต็มไปหมด หัวใจเต้นหนักหน่วงเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ว่าเขากำลังทำอะไร และกำลังทำกับใคร เขาอยากปรนเปรอให้นายน้อยของเขามากกว่านี้ เขาอยากได้ยินคำร้องขอจากคนใต้ร่างมากกว่านี้

สตีเฟ่นอยากกินโทนี่มากกว่านี้

“ครูครับ ช่วยอ๊ะ…สอนผมหน่อย ได้มั้ย”

“สอนเรื่องอะไร”

“สอนการมี…อ้าาห์~ เซ็กส์แบบผู้ใหญ่”

“หึ อืม แล้วจะสอนให้ชำนาญเรื่องนี้เลย”

บทสนทนาถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องแห่งความหรรษา ก่อนสองชายจะจบหยุดเพลิงราคะบนเตียงด้วยการฉีดพุ่งน้ำรักออกมาพร้อมกัน

สตีเฟ่นถอนตัวออกช้าๆ ทำให้น้ำของเขาในตัวโทนี่ไหลออกมาตามท่อนขาเรียวด้วย เขาขยับจะลุกไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดให้คนตัวเล็กแต่กลับถูกรั้งท่อนแขนขวาเอาไว้ พอหันไปมองก็เห็นนายน้อยมองมาอย่างออดอ้อน ในประกายตาระยิบระยับแสดงออกถึงความหวาดกลัวไว้ลึกๆ ด้วย

อ้อนเก่งแบบนี้ ชักหวงขึ้นมาแล้วสิ

“ไม่ใช่ว่าคิดจะฟันแล้วทิ้งหรอกนะ”

“เห็นผมเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง”

“ก็เห็นนายชอบหนีฉันทุกที แถมก่อนทำยังบอกอีกว่าทีหลังเวลาฉันฮีทจะให้ไปพึ่งคนอื่น ใจร้าย”

สตีเฟ่นมองโทนี่นิ่ง เสียงคลิกดังขึ้นในหัว เขาเขยิบไปดีดหน้าผากมนทำเอาโดนมองค้อนทันที

“นายน้อยรู้ได้ยังไงว่านี่คืออาการอะไร ตอนแรกยังทำใสซื่อกับอาการของตัวเองอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”

“เหนื่อยแฮะ นอนดีกว่า” แล้วโทนี่ก็หันหน้าไปทางอื่นแต่ไม่ยอมปล่อยแขนสตีเฟ่น “แต่ฉันพูดจริงนะ ที่ว่าฉันชอบนาย”

“…”

“ตอนรู้ว่านายเป็นอัลฟ่าแล้วฉันเริ่มส่งกลิ่นโอเมก้าแล้ว ฉันก็อยากให้นายเป็นคนได้กลิ่นคนแรก นายจะได้มาทำให้ฉันเป็นของนาย ถ้าให้พูดตรงๆ ก็…ฉันน่ะ อยากตกเป็นของนายมาตลอดเลยนะ ♥”

“โทนี่” สตีเฟ่นเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู “พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า โอเมก้าที่พร้อมมีลูกกับอัลฟ่าดีๆ สมฐานะของตนน่ะไม่ควรมาเอ่ยปากขอเป็นของอัลฟ่าคนอื่นง่ายๆ แบบนี้นะ”

“เพราะคิดดีแล้วไงเล่าถึงได้บอกนายตรงๆ” โทนี่หันมาตะเบ็งเสียงใส่สตีเฟ่น ก่อนเงียบแล้วทำหน้าสลด “แต่นายคงไม่คิดแบบนั้นใช่มั้ย นายคงเห็นฉันเป็นแค่ลูกนกในกรงทองที่ไม่ควรคิดเกินเลยด้วย”

อันที่จริงผมคิดไปแล้วครับ คิดมาได้สักพักแล้วด้วย

“คุณยังมีความรักให้เจออีกมากข้างนอกบ้าน เอาจริง ความรักเป็นไงคุณยังไม่รู้เลยใช่มั้ยล่ะ”

“งั้นนายก็สอนฉันสิ นายเป็นครูของฉันนี่ ทำได้อยู่แล้วใช่มั้ย”

โทนี่ถามด้วยเสียงคาดหวังพลางยิ้มแฉ่ง สตีเฟ่นไม่ได้อยากยอมเท่าไหร่แต่เขาเอาชนะความใจอ่อนที่มีให้โทนี่ตลอดของตัวเองไม่ได้สักครั้ง สุดท้ายจึงต้องพยักหน้าตกลงจำนนก่อนก้มลงจูบกระหม่อมเด็กดื้อ

“จะมาบอกทีหลังว่าผิดหวังจังที่ตัดสินใจเลือกนายไม่ได้นะ”

“อื้ม ก็ฉันยอมให้นายเป็นพ่อของลูกฉันแล้วนี่นา เมื่อกี้นายเสร็จในตัวฉันใช่มั้ย เคยอ่านเจอมาว่าโอเมก้ามีสิทธิท้องสูงด้วยสิ โอ๊ย!!”

สตีเฟ่นดีดหน้าผากเด็กลามกก่อนโดนดึงไปนอนซุกอก แล้วเจ้าตัวดีก็กัดเข้าเต็มแผงอกของเขาก่อนชิงหลับไปเฉย อย่าให้ถึงคราวเอาคืนแล้วกันจะกัดให้ขึ้นรอยฟันทั้งตัวเลย เจ้าตัวแสบ

ยังไงก็ตามถ้าฮาเวิร์ด สตาร์ครู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เขาตายแน่

แต่ว่า…

สตีเฟ่นมองโทนี่ในอ้อมแขนแล้วจูบเรือนผมนุ่มพร้อมกอดคนในความดูแลแนบแน่น

มันก็คุ้มล่ะนะ

 

 

THE END
14/10/18

[Dr. Strange x Tony Stark] The Hunted

Title: The Hunted

Pairing: Dr. Strange x Tony Stark

Author: SaRa_PAO

Genre: Porn without plot

Rate: R-18

Note: พี่หมอสายดาร์ค โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

เสียงหอบหายใจดังเป็นจังหวะตามแรงในกายที่อ่อนลงเรื่อยๆ

โทนี่ หมาป่าหลงฝูงที่หลุดเข้ามาในถิ่นของอสูรกายนาคาผู้ครอบครองป่าด้านเหนือของดินแดนอเวนเจอร์ส

ดร.สเตรนจ์ เห็นใครต่อใครต่างขนานนามอมนุษย์ผู้ป่าเถื่อนไว้เช่นนี้

“ไม่ปากเก่งต่อแล้วหรือ” คำถามเย้ยหยันดังขึ้นเหนือตัวของมนุษย์หมาป่า โทนี่กัดฟันแน่นพร้อมเค้นแรงเท่าที่มีแสดงท่าทีต่อต้านแม้ว่าจะโดนแส้เวทมนตร์ส่องแสงสีเหลืองทองมัดสองข้อมือเข้าด้วยกันก็ตาม “นี่รอบที่เท่าไหร่แล้วนะ สิบ? ไม่สิ สิบสองได้มั้ง?”

“ถ้าฉันหลุดไปได้ล่ะก็” ผู้ถูกกดขี่เค้นเสียงขู่ฟ่ออย่างยากลำบาก เขี้ยวแหลมสีขาวโชว์พอให้คนด้านบนเห็นว่าเขาเอาจริง “ฉันจะขย้ำแล้วฉีกร่างโสโครกของแกให้ฝูงแร้งกินอย่างไม่ใยดี ไอ้ปีศาจสเตรนจ์”

สเตรนจ์เพียงแค่กะพริบตาสองสามทีแล้วระเบิดหัวเราะลั่นจนตัวงอ ก่อนเบาเสียงลงมาคลี่ยิ้มเอ็นดูปนสังเวชชายหนุ่มใต้ร่างเปลือยเปล่าของตน

“ไว้นายหลุดจากการจับกุมได้แล้วเราค่อยว่ากันดีมั้ย” สเตรนจ์เอ่ยถาม แสดงท่าทางเป็นห่วงทั้งที่นัยน์ตาวาวโรจน์ทอประกายหิวโหย เขาโน้มตัวลงไล่จมูกไปตามผิวสีน้ำผึ้งอันเต็มไปด้วยรอยขบกัด รอยบีบขยำ และรอยรักอยู่ทั่วตัว “ถึงตอนนั้นฉันจะยอมให้นายเอาคืนให้สาแก่ใจเลย”

“แล้วเราจะได้เห็น…อ้ะ! หยุด สเตรนจ์…หยุด!” เสียงข่มขู่เปลี่ยนเป็นเสียงร้องห้ามเมื่อถูกคุกคาม

จอมนาคาไม่สนใจและเล่นกับร่างบิดเร่าของหมาป่าในกำมือต่อไป เขาเผยอเขี้ยวคมขึ้นฝังลงบนเนินอกนุ่มที่พยายามถดหนีแต่ไปไหนไม่รอดเมื่อหลังของเจ้าของของมันติดฟูกนอน เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องสร้างความรำคาญให้แก่เขาอย่างมาก เขาอยากจะปิดปากแดงช้ำนั่นให้สนิท เขาอยากจะกลืนเสียง ไม่สิ ทั้งตัวของโทนี่เข้าไป ถึงอย่างนั้นสเตรนจ์ขอยอมรับว่าพวกมันกลับปลุกความต้องการในตัวเขาให้ตื่นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

ถ้าหากทำรุนแรงมากกว่านี้จะได้ยินเสียงแบบไหนนะ

ถ้าหากล่าจนจนมุมขึ้นมาจะได้เห็นปฏิกิริยายังไงกัน

น่าสนใจ

น่าสนใจจริงๆ!

“เจ็บ” เสียงสั่นเครือดังเรียกให้สเตรนจ์เหลือบตาขึ้นมอง โทนี่กำลังน้ำตาไหลอาบหน้า ริมฝีปากเจ่อบวมสั่นระริกจากการสะอื้นไห้ “ฉันเจ็บ เจ็บจริงๆ แถมยังหมดแรงแล้ว”

มันดูน่าแปลกใจที่โทนี่กลายเป็นเด็กดีขึ้นมาทั้งที่ดื้อด้านมาตลอด ทว่าสเตรนจ์ไม่ได้เอะใจอะไรเมื่อมองความเป็นจริงแล้วโทนี่ก็เจอศึกหนักมาเยอะอย่างปากว่า ร่างกายบอบบางอาจแตกสลายได้หากเขายังดื้อดึงจะทำต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมผละตัวขึ้น เขามองโทนี่ด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วแก้มัดสองข้อมือให้เป็นอิสระ ร่างเล็กรีบยกพวกมันขึ้นมาจับๆ หมุนๆ เพื่อดูว่าข้อมือตัวเองขาดหรือเปล่า แต่พอพบว่าไม่ความหวาดกลัวบนใบหน้าโศกาก็คลายลงเล็กน้อย

“ฉันจะให้นายพัก สิบนาที”

“สิบนาที? แค่สิบนาทีเองเหรอ ฉันทำกับนายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ อาจจะครึ่งค่อนวันแล้วด้วยซ้ำ”

“สิบนาทีดีพอแล้วสำหรับนาย”

สเตรนจ์สั่งเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องนอน แต่แล้วสัญชาตญาณก็เข้าควบคุมร่าง มันตะโกนในหัวเขาว่า ระวัง! หลบ! และเขาเลือกทำตามที่พวกมันบอก ก่อนพบว่าโทนี่พุ่งเข้ามาพร้อมกับตะเกียงไฟที่เงื้อขึ้นเตรียมฟาดเขาด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย

เมื่อพลาดโทนี่ไม่อยู่รอให้โดนจับได้อีกครั้ง เขารีบวิ่งด้วยแรงฝืนที่มีตรงไปยังประตูอย่างทุลักทุเล เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อคว้าที่จับประตูแต่แล้วทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ตัวของเขาร่วงหล่นไปนอนตุบบนเตียงตามเดิม ความจุกแล่นปลาบไปทั่วร่าง สองขาสั่นพั่บๆ จนไม่สามารถใช้พยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขาทำได้แค่นอนขยับไปมาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

หมดแรงแล้วงั้นเหรอ” สเตรนจ์ถามลอดไรฟัน เขาเดินตรงเข้าไปหาโทนี่ที่พยายามตะเกียกตะกายหนี แต่ไม่สำเร็จ “ตอแหลเก่งไม่เบา เห็นเป็นคนตรงๆ แบบนี้แต่มารยาเยอะใช้ได้เลยนะคุณหมาป่า”

“กับปีศาจเจ้าเล่ห์แบบแกโดนแค่นี้ยังน้อยไป” โทนี่ปากดีกลับ เขาคว้าหมอนด้านหลังมาฟาดสเตรนจ์แต่โดนแย่งไปขว้างทิ้ง ในที่สุดเขาก็หนีชิดหัวเตียง ทว่าเขายังไม่หมดหนทางสู้ตราบใดที่สมองของเขายังเต็มไปด้วยสติและความอัจฉริยะ “แกมันเหมาะสมกับคำว่าอสูรกายอย่างที่ใครเขาร่ำลือกันจริงๆ นอกจากจะไร้คุณธรรมและจริยธรรมแล้วยังมักมากในกามจนพวกหมาป่ายังอายเลย ถึงเผ่าของฉันจะเปลี่ยนคู่ครองบ่อยแต่ไม่เคยทำเรื่องต่ำทรามโดยการจับคนอื่นมาขังเพื่อปู้ยี่ปู้ยำ”

สเตรนจ์เงื้อมือขึ้นจะตบโทนี่แต่ยั้งแรงไว้ได้ทัน เขามองใบหน้าที่หันหลบพร้อมร่างกายสั่นกลัวของหมาป่าตัวน้อยแล้วแสยะยิ้ม แววตาเรืองรองดูสนุกสนานกับความคิดของตัวเอง ต่อมาเขาลดมือลงไปกระชากข้อเท้าโทนี่ให้กลับมาอยู๋ใต้ร่างของเขากลางเตียงตามเดิม

“กับมนุษย์หมาป่าแสนกลแบบนายต้องโดนลงโทษยังไงกันนะ” สเตรนจ์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบ้าคลั่งเฉกเช่นแววตา “รู้แล้ว ฉันจะทำจนกว่านายจะท้องเลยแล้วกัน”

 

“อึ้ก!… อ๊ะ ฮึก… หยุด หยุด!”

เสียงร้องขอไม่มีผลเมื่อคนฟังไม่คิดสนใจ โทนี่ถีบผ้าปูที่นอนพร้อมๆ กับดันสองบ่าของสเตรนจ์ที่สาละวนอยู่กับยอดอกของเขาให้ออกไป แต่มันทำได้ยากเมื่อโดนคนตัวสูงกว่ามานอนทับอยู่ตรงหว่างขาแบบนี้ เขาทั้งใช้เล็บจิก ทั้งข่วนไปตามแผ่นหลังของอสูรกายชั่วช้าด้วยหวังใช้มันเป็นทางรอด แต่กลับไร้ผล สเตรนจ์ไม่สะทกสะท้านแถมยังขบกัดไปตามผิวของเขาคืนจนทำเอาน้ำตาเล็ด สมองของเขาจดจำความเจ็บปวดเอาไว้มาตั้งแต่เซ็กส์รอบแรกจนถึงรอบนี้ และมันใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทนแล้ว หากว่าโทนี่ยังตกอยู่ในทัณฑ์ทรมานนี้ต่ออีกล่ะก็ สมองของเขาต้องระเบิดไปด้วยความร้าวรานราวกับจะแหลกสลายแน่นอน

สเตรนจ์ผละตัวขึ้นมามองปฏิกิริยาของโทนี่แล้วเลื้อยขึ้นไปประกบจูบริมฝีปากบวมช้ำพร้อมสอดลิ้นเข้าไป เขาไล่เก็บเกี่ยวความหอมหวานไปทั่วโพรงปากนุ่มที่ไม่รู้ทำไมถึงยังได้หวานฉ่ำอยู่ได้ เขาสาบานว่าเขาจูบโทนี่จนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ทุกครั้งภายในนี้ก็ยังมีน้ำหวานๆ เอ่อออกมาคอยเขาอยู่อย่างกับโทนี่เป็นเครื่องผลิตน้ำหวานเดินได้ ยิ่งได้รุกล้ำยิ่งอยากเข้าไปลึกขึ้น ลึกขึ้น… ลึกขึ้นอย่างมิอาจห้ามใจ

แล้วสเตรนจ์ต้องผละออกมาให้โทนี่โกยออกซิเจนเข้าปอด เขามองคนที่นอนสำลักไอโขลกๆ จนหน้าดำหน้าแดงแล้วอมยิ้ม ก่อนประกบจูบลงไปใหม่ในจังหวะที่โทนี่ตั้งตัวไม่ทัน สองกำปั้นที่ทุบอยู่ตรงอกแทบไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บ มันทั้งอ่อนแรงและอ่อนแอเหมือนเจ้าของร่างกายนี้

แต่ว่าโชคดีแล้วล่ะที่ไม่มีใครได้กลิ่นเจ้านี่จนแย่งไปกกไว้คนเดียวมาก่อน

พอดื่มด่ำกับน้ำเชื่อมในโพรงปากนุ่มจนพอใจแล้ว สเตรนจ์ก็ผละออกใช้ปลายจมูกคลอเคลียบริเวณท้องน้อยของโทนี่จนทำเจ้าของร่างสะดุ้งโหยง ใบหน้าหวานแดงเถือกด้วยอายจากแรงอารมณ์ที่ตื่นกลับขึ้นมาอีกครั้ง สองมือเล็กพยายามผลักหัวเขาออกแต่มันก็อ่อนแรงจนต้องเปลี่ยนมาจิกทึ้งผมของเขาด้วยความเสียวซ่านแทน สะโพกของมนุษย์หมาป่ายกขึ้นตอบรับรสสัมผัสก่อนกลับไปนอนราบกับเตียงดังเดิมเมื่อเจ้านายของมันเลือกจะปฏิเสธความต้องการของตัวเอง

สเตรนจ์ไม่รอให้โทนี่ได้ทักท้วงหรือดื้อดึงอีกเป็นครั้งที่ล้าน เขาจับคนด้านบนพลิกให้นอนคว่ำแล้วยกสะโพกมนขึ้นสูง ใช้มือขวาไล้ไปตามต้นขาเนียนของอมนุษย์ที่ตัวสั่นอัตโนมัติ แล้วเขาค่อยขยับสอดแท่งความเป็นชายของตัวเองเข้าไปในช่องทางที่ขมิบรัดราวกับกำลังเชื้อเชิญกัน รอบนี้มันเข้าง่ายกว่าครั้งแรกๆ จนน่าปลื้มใจและขัดใจในคราเดียวกัน เขาอยากให้โทนี่สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเขามากกว่านี้ อยากให้เจ้าตัวหวีดร้องเสียงหลงด้วยความเสียวซ่านและปวดร้าวราวกับร่างจะฉีกขาดเป็นสองเสี่ยงไปพร้อมกัน

“ดะ…เดี๋ยว ไม่ อ๊ะ…ไม่ เดี๋ยว ไม่ใช่…อึ้ก ตอนนี้” โทนี่เอ่ยอย่างยากลำบาก เขาหันไปมองสเตรนจ์ที่ขยับตัวเข้าออกทั้งที่ช่องทางของเขายังรู้สึกคับและไม่สบายตัว แก่นกลางของคนด้านหลังใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ มันขยับเสียดสีจุดอ่อนไหวของเขาจนปริขาดอีกครั้ง และคราวนี้มันทั้งแสบและเจ็บจนต้องร้องไห้เอ่ยปากอ้อนวอนอย่างจำใจ “เดี๋ยว ฮึก ฮึก…สเตรนจ์”

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเรียกชื่อฉัน” สเตรนจ์เอ่ยปากสั่งพร้อมโน้มตัวทาบทับคนด้านใต้ที่หันมาน้ำตาคลอเบ้าด้วยใบหน้าขอร้อง “นายไม่มีสิทธิพูดอะไรทั้งนั้นในเมื่อนายเป็นแค่นักโทษข้อหาบุกรุก”

“ฉันเจ็บ ฮึก…ฉันเจ็บ” โทนี่สารภาพตามจริง แล้วต้องเชิดหน้าขึ้นเมื่อโดนกัดเต็มหลังคอ เขี้ยวคมของงูยักษ์ฝังลึกจนเขามั่นใจว่าหากสเตรนจ์ถอนเขี้ยวออกเลือดต้องไหลตามออกมาด้วยแน่ๆ “พอ…ก่อน”

อสูรกายเจ้าของถิ่นไม่ฟัง เขาขยับเข้าออกด้วยแรงอารมณ์และความต้องการที่มีโดยไม่สนใจเสียงร้องขอ เสียงร้องห้าม และเสียงร้องไห้ของมนุษย์หมาป่าด้านใต้ ตรงกันข้าม ยิ่งเขาเห็นโทนี่อ่อนแอถึงขนาดลดทิฐิและอัตตาลงจนแทบไม่เหลือชิ้นดี เขายิ่งชอบจนอยากทำลายชายคนนี้ให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทราย สเตรนจ์ส่งเสียงหอบหายใจปะปนไปกับเร่งขยับสะโพกให้เข้าไปลึกกว่าเดิมด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เขาถอนตัวเองออกเพียงครึ่งแล้วกระแทกซ้ำเข้าไปยังจุดที่ทำโทนี่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนในที่สุดปลายทางของโทนี่ก็มาถึงก่อน มนุษย์หมาป่าเกร็งตัวแล้วจะฉีดน้ำขาวขุ่นออกมา แต่ทว่าทุกอย่างกลับเหือดแห้งพร้อมแสงสีเขียวด้านหลังที่จางลง

โทนี่หันไปถามสเตรนจ์ด้วยความงุนงง “นายทำอะไร”

สเตรนจ์ชูสร้อยอัญมณีควบคุมเวลาที่อยู่ในครอบครองด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย เขาใช้เวทมนตร์ให้มันลอยอยู่เหนือหัวของเขาเพื่อความสะดวกในการใช้ครั้งต่อไป

“ลงโทษนายไง”

 

เรื่องมันเป็นอย่างนี้

พอโทนี่ใกล้จะเสร็จ สเตรนจ์จะย้อนเวลากลับไปช่วงที่เขายังไม่มีอารมณ์แล้วเปลี่ยนท่ามีเซ็กส์กับเขาไปเรื่อยๆ จนตัวเองสบายตัวไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผิดจากเขาที่ไม่เสร็จบ้าง เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นบ้าง สลับไปมาจนหัวปวดหนึบไม่เหลือพื้นที่ให้สติและเหตุผลอยู่อีกต่อไป ร่างกายร้อนดั่งไฟในกองไฟชุมนุม

ตอนนี้โทนี่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงกามารมณ์ เขาทำทุกอย่างลงไปเพื่อเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณดิบที่มีอยู่ในทุกสิ่งมีชีวิต เซ็กส์ สืบพันธุ์ ปลดปล่อยความต้องการ แล้วตายไปซะ

ร่างของหมาป่าตัวน้อยขยับขึ้นลงตามแรงส่งจากคนด้านบนที่มัวเมาไปกับรสสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามเรือนร่างสมส่วนน่ามองในความคิดของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่กับโทนี่ที่อยากกระชากทึ้งร่างหลอกลวงตรงหน้าให้ขาดกระจุยคาสองอุ้งมือ

และแล้วปลายทางของสเตรนจ์ก็มาถึงอีกครั้ง คนตัวสูงโปร่งฉีดน้ำรักเข้ามาในช่องทางของโทนี่จนนับครั้งไม่ได้แล้วถอนกายออกไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ปล่อยให้โทนี่อารมณ์ค้างอยู่อย่างนั้น

คนตัวเล็กที่นอนอ้าขาเป็นรูปตัวเอ็มพยายามยันตัวขึ้นเพื่อใช้สองมือช่วยตัวเอง ทว่าพวกมันกลับโดนสเตรนจ์ใช้เวทมนตร์มัดไพล่หลัง แล้วตัวของเขาก็ถูกดึงลงไปนอนในอ้อมแขนชื้นเหงื่อของอสูรร้าย

“ขอฉันพักก่อนนะ”

“อย่าได้! มาบอกฉัน” โทนี่เค้นน้ำเสียงเกลียดชังออกมาสั่ง แต่สเตรนจ์แค่จูบเรือนผมของเขาแล้วนอนหลับอย่างไม่ทุกข็ร้อน

เวลาผ่านไปเชื่องช้าในความรู้สึกของโทนี่เหลือเกิน เขานอนเผยอปากช่วยหายใจเมื่อความคับแน่นที่กลางลำตัวยังไม่ถูกปลดปล่อย ท้องน้อยรู้สึกปวดเกร็งจากการอั้นของที่ควรจะถูกขับออกมา เหงื่อท่วมตัวทำเขายิ่งร้อนรุ่มกว่าเดิม ยิ่งแผ่นหลังได้สัมผัสไอร้อนจากตัวของสเตรนจ์ในหัวยิ่งเอาแต่จินตนาการถึงความสุขสมที่ตัวเองถูกปรนเปรอมาตลอด มันทำแท่งร้อนระอุของเขาขยายใหญ่กว่าเดิม

โทนี่หอบหายใจนอนตัวงอ เขาตาปรือไปด้วยความต้องการ ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกจูบเข้าบริเวณหัวไหล่แล้วเสียงของสเตรนจ์ก็ดังขึ้น มันเหมือนยมทูตกำลังจะมาผลักเขาลงสู่ทาทาร์รัส

“ให้ฉันช่วยมั้ย”

“ไม่จำเป็น” โทนี่ปฏิเสธทันควัน แล้วตัวต้องเกร็งขึ้นมาเมื่อมือหนาเอื้อมมากอบกุมแก่นกายของเขา “คิดจะทำอะไร ไม่ อ๊ะ…ไม่ ปล่อย ปล่อย…ฉัน”

ไม่รู้การอ้อนวอนด้วยเสียงกระเส่าจะทำให้สเตรนจ์ยอมหรือเปล่า แต่โทนี่ยืนยันว่าเขาไม่ได้ต้องการใช้น้ำเสียงนี้กับปีศาจจากนรกตรงหน้า เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกับตอนนี้ที่ร่างกายของเขาเขยิบเข้าหาสเตรนจ์พร้อมเผยอปากนอนน้ำลายยืด ตาหวานฉ่ำเจือไปด้วยน้ำตาแห่งความเคียดแค้นและขยะแขยงตัวเอง

ร่างกายนี้มันโสโครกที่สุด!

“นายกำลังยั่วฉันหรือไง”

“ไม่ใช่” โทนี่ปฏิเสธอีกครั้ง แต่เขารู้ว่าสเตรนจ์ไม่มีทางเชื่อ เขาจึงต้องย้ำอีกรอบ “ฉันไม่ได้…”

คำพูดเป็นอันต้องจบลงเมื่อมือหนาชักรูดแก่นกายของโทนี่ขึ้นลงด้วยน้ำหนักและจังหวะที่ทำเอาเสียวสะท้านไปทั้งร่าง ขนทุกเส้นบนกายของมนุษย์หมาป่าตั้งชัน ยอดอกเองก็เช่นกัน สติสัมปชัญญะถูกตบกระเด็นด้วยแรงขับทางเพศ โทนี่ยอมนอนนิ่งให้คนด้านหลังทำอะไรก็ตามแต่ที่ตนปรารถนา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะโดนความต้องการเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์แบบเสียแล้ว

เล่นกับส่วนกลางของโทนี่ได้พักใหญ่สเตรนจ์ก็ผละลุกขึ้นนั่ง เขาดึงโทนี่ลุกมานั่งเผชิญหน้ากับเขา พอพบว่าเด็กดื้อตรงหน้ายอมเชื่อฟังแล้วเขาค่อยเขยิบไปกระซิบถามชิดริมฝีปากสีกลีบกุหลาบ

“ให้ฉันช่วยมั้ย” ตอนแรกโทนี่ไม่ตอบ แต่พอถามซ้ำอีกครั้งคนตัวเล็กถึงพยักหน้า นั่นทำให้แผนของสเตรนจ์สำเร็จไปครึ่งหนึ่ง เขาออกคำสั่ง “ทำให้ฉันอยากช่วยนายสิ”

“นายมัน…”

“อ๊ะๆๆ พูดดีๆ นะ ไม่งั้นเรื่องนี้จบไม่สวยแน่”

โทนี่ยังไม่สิ้นลายคนดื้อ สเตรนจ์เลยบีบให้อีกคนยอมด้วยการใช้นิ้วถูช่องทางอ่อนนุ่มไปมา เขาไม่สนว่าอมนุษย์ตัวน้อยในกำมือจะเสร็จก่อนแผนของเขาสำเร็จหรือไม่ เพราะยังไงเขาก็ใช้ไทม์สโตนย้อนเวลากลับไปเล่นกับโทนี่ได้อีกหลายต่อหลายรอบอยู่ดี

สุดท้ายคนดื้อก็ต้องยอมให้แรงขับทางเพศที่พุ่งเกินขีดสุดมานานแล้ว โทนี่เอ่ยขอทั้งที่ขยับสะโพไปด้วย

“ช่วย…ฉันที”

สเตรนจ์จับให้โทนี่นั่งอยู่ขอบเตียงแล้วตัวเองลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น เขาใช้ปากครอบครองแท่งร้อนระอุของคนตัวเล็กที่ตัวกระตุกเกร็งอย่างไม่คุ้นชิน แล้วขยับเข้าออกโดยเริ่มจากจังหวะช้าๆ ไปเนิบนาบ ก่อนเพิ่มความเร็วจนโทนี่ต้องจิกเกร็งเล็บเท้ากับใช้เล็บคมขูดผิวเตียงเป็นรอย คนตัวเล็กเชิดหน้าขึ้นด้านบน หอบหายใจกระเส่าพลางหลุดครางเป็นพักๆ พร้อมขยับสะโพกสวนกลับมาตรงจังหวะอย่างกับนัดกันไว้ ซึ่งความจริงคือเปล่า

คนตัวเล็กส่งเสียงหวานระรื่นหูออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีเซ็กส์ด้วยกันมา แก้มขึ้นสีระเรื่อรับกับริมฝีปากแดงสดเผยอออกช่วยหายใจจนน้ำลายไหลหยดลงบนเนินอก เรือนร่างจับเต็มไม้เต็มมือบิดเร่า แถมเนื้อยังนุ่มนิ่มเสียจนคนได้สัมผัสอยากขยำให้มันขึ้นรอยมือ สเตรนจ์กล้ายืนยันว่าพวกมันคือยาปลุกเซ็กส์ขนานดีที่สุด

ความอดทนของเจ้าของถิ่นขาดผึง เขาผละปากออกขยับขึ้นผลักคนบนเตียงให้นอนราบแล้วแยกสองขาเล็กออกพร้อมแทรกความเป็นชายของตัวเองเข้าไปทีเดียวจนสุด จากนั้นค่อยกดสองข้อมือเล็กให้จมกับฟูกนอนแล้วขยับกาย พร้อมเลื่อนหน้าไปเอ่ยขอเชิงออกคำสั่งข้างใบหูเล็ก

“ไปพร้อมกันนะ”

 

สเตรนจ์เหนื่อยจนหลับไปของจริงแล้ว โทนี่เองก็เหนื่อยจนไม่เหลือแรงแล้วเช่นกัน แต่ว่าเขาต้องใช้โอกาสนี้หนีออกไปจากอุ้งมือมารที่สลบไม่ได้สติอยู่บนเตียง

มนุษย์หมาป่ายันตัวขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก ร่างกายของเขาสั่นไปทุกส่วนแถมยังอ่อนแรง หัวปวดหนึบจนทำการมองเห็นพร่าเลือนและเต็มไปด้วยจุดสีแดงเป็นบางครั้ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องไป เขาต้องหนีไปจากคุกนี่

โทนี่ขยับจนขาแตะพื้นได้สำเร็จ แต่เพียงเขาลุกขึ้นยืนร่างก็ล้มไปกองกับพื้นโครมใหญ่ มันยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้ช่วงล่างจนเขาต้องร้องโอดครวญออกมา

เมื่อตั้งสติได้และความเจ็บคลายตัวลงแล้ว มนุษย์หมาป่าตัดสินใจคลานไปตามพื้นอย่างทุลักทุเล เขาต้องหันกลับไปมองสเตรนจ์เป็นพักๆ เพื่อเช็คว่าอสูรบนเตียงจะตื่นมาจับเขาได้ตอนไหน และเหมือนฟ้าเป็นใจให้เขามาถึงหน้าประตูโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง

ในช่วงเวลาอันน่าอิ่มเอมใจช่วงหนึ่ง พอโทนี่ยืดตัวจับที่เปิดประตูนั้นภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นกำแพงอิฐ แล้วประตูก็ไปปรากฏอยู่อีกฝั่งของห้อง โทนี่ต้องคลานไปยังทางออกสุดท้ายของตัวเอง แต่ประตูก็จะกลายเป็นกำแพงเสมอจนโทนี่ที่หมดความอดทนในที่สุดทำได้แค่กรีดร้องไร้เสียงออกมาอย่างเจ็บใจ

ความจริงเขาน่าจะรู้ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในถิ่นของสเตรนจ์แล้วว่า มันไม่มีทางออกจากนรกแห่งนี้อยู่ตั้งแต่แรก

 

ยามเช้ามาเยือนในเวลาต่อมา สเตรนจ์ตื่นเพราะแสงแดดแยงตา เขาขยับจะกอดโทนี่แต่พอไม่พบร่างอีกคนก็ตื่นเต็มตาแล้วเด้งตัวขึ้นนั่ง พอเห็นคนตัวเล็กที่ใต้ตาคล้ำและสภาพดูไม่ได้นั่งตัวเปลือยกอดเข่าพิงกำแพงเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากอยู่ ความโล่งใจพลันเกิดขึ้นในอก เขาขยับลุกไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วเดินไปหาโทนี่ที่เขยิบหนีเข้าหาผนังห้องอย่างนึกรังเกียจ

“อย่ามาเข้ามาใกล้ฉัน ไอ้ปีศาจ”

“ทำไมผัวจะมาหาเมียไม่ได้”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับแก”

“สงสัยต้องรีเพลย์ภาพเมื่อคืนใหม่นายทั้งหมดถึงจะยอมรับสินะ”

พูดจบสเตรนจ์ก็คว้าแขนโทนี่แต่อีกคนร้องห้ามด้วยท่าทางหวาดผวา ส่งเสียงร้องขอความเมตตาผิดกับคนเย่อหยิ่งเมื่อคืนลิบลับ

“แล้วมาทำอะไรตรงนี้ หรือว่าคิดจะหนี”

“ไม่ใช่ ฉันแค่ทนนอนร่วมเตียงกับอสูรร้ายอย่างนายไม่ได้”

“ถ้าคิดจะหนีบอกเลยว่าเสียเวลาเปล่า ปราสาทของฉันฟังแต่คำสั่งฉันเท่านั้น ถ้าฉันไม่ให้นายไปมันก็จะไม่มีทางปล่อยนายไป และอย่าหวังให้ใครมาช่วยพาหนีเพราะฉันฝังกลิ่นของฉันในตัวนายแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนกล้าแตะต้องหรือเข้าใกล้นายเด็ดขาด”

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของโทนี่ เขาอึ้ง ช็อก และเหนื่อยเกินกว่าจะหาคำใดโต้กลับไปได้ ทั้งหมดที่ทำมาไร้ซึ่งความหมายใดๆ สุดท้ายแล้วโทนี่ต้องตกเป็นคู่นอนของสเตรนจ์ไปตลอดกาล เขาไม่มีวันหนีจากเงื้อมือของอมนุษย์ตนนี้ได้ เขาไม่มีวันเป็นอิสระอีกแล้ว

 

 

 

THE END
21/08/2018

[SF WINTERIRON] My Bitch (12)

Title: My Bitch (12)

Pairing: BUCKY x TONY [SF WINTERIRON]

Author: SaRa_PAO

Genre: Drama

Rate: PG

Note:

 

โทนี่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงสระน้ำพุหน้าคฤหาสน์ของคิลเลียน

หลังจากที่เขาถูกพามาส่ง ณ ตรงนี้ ลูกน้องของบาร์นส์ก็เข้ามาช่วยแก้มัดเชือกพร้อมยื่นเสื้อสูทมาให้สวม

สูทตัวนี้น่าจะเป็นของบาร์นส์ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สวมมันอยู่ขณะต่อสู้กับคิลเลียน ซึ่งการต่อสู้จบลงในเวลาอันรวดเร็ว คือบาร์นส์ต่อยเสยคางจนคิลเลียนสลบ เท่านั้นพวกลูกน้องของคิลเลียนก็พากันศิโรราบแต่โดยดี

โทนี่ที่สวมสูทเสร็จรีบลุกไปนั่งในมุมมืดข้างสระน้ำพุ เขาร้องไห้เป็นเผาเต่าเมื่อทุกอย่างในชีวิตมันจบลงแล้ว แสงสว่างแห่งความหวังในชีวิตใหม่ดับลงจนหมด

บาร์นส์ต้องรังเกียจเขาแน่ ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อเห็นว่าเขามันใจง่ายแค่ไหน ในเมื่อเห็นกับตาว่าเขาโดนคนอื่นลวนลามต่อหน้า ทั้งสภาพที่น่าสังเวช ทั้งการแสดงออกที่น่าขยะแขยง เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว

“เฮ้” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเหนือหัว โทนี่สะดุ้ง กระชับกอดตัวเองแล้วไม่ยอมหันไปมองคนเรียก เขาก้มหน้าลงซุกเข่า “โทนี่ ฉันขอนั่งด้วยได้มั้ย”

โทนี่ไม่ได้ตอบ ขยับตัวเบียดเข้าหาสระน้ำพุมากกว่าเดิม เขาอยากบอกให้บาร์นส์รีบไปจากเขา อยากไล่ให้อีกฝ่ายไปไกลๆ จากคนที่ไม่มีอะไรดีคนนี้ แม้ว่าใจจริงแล้วเขาอยากให้บาร์นส์กอดเขาก็ตาม

“ไม่ตอบถือว่าอนุญาตนะ?” บาร์นส์ถือวิสาสะนั่งลงข้างโทนี่ เขาเว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อดูลาดเลา “นายได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ย”

โทนี่ส่ายหัว ทุกอย่างมันตีตื้นขึ้นมาในอก น้ำตาจะไหลออกมาอีกแล้ว แต่เขาต้องทนเก็บเอาไว้เพื่อไม่ให้บาร์นส์ต้องเป็นห่วง โทนี่กำสองมือเข้าหากัน กอดกระชับตัวเองมากยิ่งขึ้น เขาจะต้องทำให้บาร์นส์เห็นว่าเขาเข้มแข็งพออยู่ตัวคนเดียวได้ เขาต้องไม่เป็นอะไร

“หันมามองกันหน่อยได้มั้ย” บาร์นส์เอ่ยขอ ไม่ใช่ออกคำสั่งเช่นทุกที “ฉันอยากเห็นหน้านายนะ”

“สภาพน่าสมเพชแบบนี้น่ะเหรอ” โทนี่เอ่ยถาม เขากัดปากจนเป็นขีดขาว สั่งให้ตัวเองเลิกร้องไห้เสียที “สภาพที่… โดนคนอื่นย่ำยีไปทั่วต่อหน้าผู้คนมากมาย แถมยังทำอะไรไม่ได้จนกลายเป็นปัญหาให้นาย”

“ฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน นายเป็นเมียของฉัน”

“ฉันไม่ใช่เมียของนาย!” โทนี่ตวาดลั่น “ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ฉันน่ะ…”

โทนี่เงียบเมื่อโดนสวมกอดจากทางด้านหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในความมืดมิดตรงหน้า ณ ที่แห่งนั้นมีแสงไฟดวงหนึ่งส่องสว่างอยู่ มันเป็นไฟดวงเล็กๆ ที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด

“เป็นสิ นายยังเป็นเมียของฉันอยู่ เป็นมาตลอดนั่นแหละโทนี่”

“แต่ฉัน ฉันโดน… นายจะมาอะไรกับคนอย่างฉัน คนที่ไม่มีคุณค่า ทำได้แค่เป็นตุ๊กตายางตัวหนึ่ง หลงอยู่ในเรื่องกามๆ จนคนอื่นเห็นมันเป็นข้อดีของฉันไปแล้ว”

“นายมีคุณค่านะ ต่อให้นายบอกว่านายไม่มีคุณค่ายังไง ฉันก็จะบอกใหม่ว่านายมีคุณค่าเสมอในสายตาของฉัน” บาร์นส์กระชับกอด “นายไม่ได้สมยอมไอ้ชั่วนั่นนี่ นายโดนกระทำ นายเกือบโดนข่มขืน”

“…”

“ฉันรู้ว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากที่ฉันเคยทำกับนาย ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว ขอแค่ให้นายรู้ไว้ว่าฉันทำไปเพราะอยากได้นายมาเป็นเมีย อยากดูแลนายอย่างที่ต้องการมาตลอดโดยไม่สนว่านายจะรักฉันหรือเปล่า”

โทนี่หันไปมองคนด้านหลัง บาร์นส์คลี่ยิ้มอ่อนโยน

“เอาแต่ใจและเผด็จการใช่มั้ยล่ะ ขอโทษนะโทนี่” โทนี่ส่ายหัวไปมาให้กับคำสารภาพของบาร์นส์ “แต่ฉันรักนายที่ตัวนาย ตัวตนจริงๆ ของนาย ไม่ใช่ที่การกระทำหรือการแสดงออก”

โทนี่ไม่พูดอะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโผเข้ากอดบาร์นส์ตอนไหน สิ่งที่รู้มีเพียงแค่แสงสว่างในตัวของเขามันกลับมาแล้ว เสียงของบาร์นส์กังวานไปถึงในกระดูกของเขา ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว

“เรากลับกันเถอะ ต่อจากนี้ฉันจะปกป้องและคอยดูแลนายเอง”

 

โทนี่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกับบาร์นส์ คนตัวใหญ่ไม่พูดอะไรตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ เอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเหลือบมองบาร์นส์เป็นระยะ ชั่งใจคิดว่าจะทำแบบนี้ดีหรือไม่ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้

โทนี่กระเถิบไปกอดบาร์นส์แล้วผละออกไปนั่งที่เดิม ก้มหน้างุดด้วยความเขินอายกับการกระทำที่ไม่สมเป็นตัวเอง

บาร์นส์หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้น เขามองเข้าไปในดวงตาสีสวย มันสะท้อนภาพของเขา ไร้รอยแตกร้าว ไร้ความสิ้นหวัง มีแต่เขาเท่านั้นที่อยู่ในแววตาคู่นี้

“กลับบ้านไปจะตรวจเช็คให้ละเอียดทุกซอกทุกมุมเลย” หลังได้ยินโทนี่ก็ตัวสั่นอัตโนมัติ บาร์นส์คิดว่าหมอนี่คงกลัวเรื่องอะไรแบบนี้ไปแล้ว เขารีบแก้คำพูดใหม่ “ล้อเล่น เอาไว้นายทำใจได้แล้วค่อยมาทำกัน”

“นี่!” โทนี่มุ่ยหน้าพร้อมตะโกน บาร์นส์หัวเราะเบาๆ ก่อนเงียบลงเมื่อถูกถาม “ทำไมถึงเลือกฉัน”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยคิดหาคำตอบหรอก รู้แค่ว่าฉันรักนายแค่นี้ก็พอแล้ว”

“คนที่ไม่มีอะไรดี…”

“หยุดพูดแบบนั้นเสียที” บาร์นส์ดุ “นายมีค่า ต่อให้ใครจะเป่าหูนายยังไง ขอให้นายเชื่อฉันว่านายมีค่าในตัวเอง คุณค่าที่มีแค่คนที่คู่ควรเท่านั้นที่จะมองเห็น”

“ไม่ได้กำลังเข้าข้างตัวเองใช่มั้ย” โทนี่มองอ่อนถาม บาร์นส์ยักไหล่ เขาหลุดหัวเราะน้อยๆ แล้วรีบเงียบเสียงลงเมื่อเห็นคนข้างๆ เอียงหัว “เปล่า แค่…”

“ฉันชอบรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของนายที่สุดเลย”

“…”

“แล้วฉันก็รอคอยมันมาตลอด” บาร์นส์ว่าพลางหัวเราะ ”ได้เจอกันเสียที”

โทนี่ไม่ค่อยเข้าใจที่บาร์นส์พูดเท่าไหร่ อีกฝ่ายหันไปมองข้างทางอีกครั้งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ โทนี่ไม่รู้หรอก เขาไม่กล้าคาดเดาไปต่างๆ นานาด้วย

ต่อมาโทนี่ค่อยเขยิบไปกุมมือใหญ่พร้อมเอนหัวลงซบไหล่อีกฝ่าย คำถามมากมายผุดขึ้นมารบกวนการคิดของเขา เขาพยายามทบทวนตัวเองทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อคาดหวังและวาดฝันอนาคตของตัวเอง อนาคตที่เคยเอาแต่คิดว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยคิด แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว เขาจะไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

โทนี่เหลือบมองบาร์นส์ อีกฝ่ายก้มลงมาส่งยิ้มให้กัน จับมือของเขาให้ประสานเข้ากับมือตัวเอง

“ขอบคุณ…ที่นายไม่ทิ้งฉัน”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

“ขอบคุณที่นายเลือกฉัน” บาร์นส์ส่งยิ้มยิงฟันมาให้ “ขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับนายเอาไว้ตั้งเยอะ”

“สนุกดี ฉันชอบ” บาร์นส์พูดขำๆ แต่โทนี่ไม่ขำด้วย “ทำไมอยู่ๆ ถึงจริงจังขึ้นมาล่ะเนี่ย”

“ฉันจะไม่หนีอีกแล้ว ฉันจะไม่คิดอยากตายหรือหายไปจากโลกนี้อีกแล้ว”

“โทนี่…”

“ต่อจากนี้ฉันจะอยู่เพื่อรักนาย” บาร์นส์ดวงเบิกกว้างจนมันแทบถลนออกมา โทนี่หน้าร้อนวูบ เสตามองทางอื่น บีบกระชับมือใหญ่แน่น “ฉันไม่ชอบพูดซ้ำ อย่าถามมากด้วย จะนอนแล้ว”

โทนี่แกล้งหลับ บาร์นส์ไม่ได้พูดอะไรตามที่ขอ อีกฝ่ายเอนหัวลงซบหัวเขาแล้วใช้มืออีกข้างวางซ้อนลงบนมือซ้ายของเขา

“ขอบคุณที่ยอมรักกัน”

บาร์นส์บอก แต่โทนี่คิดว่าคำพูดนี้มันควรเป็นของเขามากกว่า เขาสิที่ควรบอกบาร์นส์ ไม่ใช่สลับกันแบบนี้

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง บัคกี้”

 

หลายปีผ่านไป

โทนี่เริ่มกลับมาสดใสได้ดังเดิม บาร์นส์แจ้งความจับคิลเลียนในหลายข้อหาและยื่นฟ้องศาลให้ลงโทษคิลเลียนให้สาสมที่สุด บาร์นส์สู้เพื่อเขาและทำทุกอย่างเพื่อให้คนรู้ว่าเบื้องหลังคลิปฉาวใครเป็นตัวการ

บาร์นส์ออกแถลงข่าวว่าคนในคลิปเป็นเพียงคนหน้าเหมือนที่คิลเลียนต้องการนำมาใช้ข่มขู่และหมิ่นประมาทเขา และทำให้เขาเสียสุขภาพจิต ผู้ชมส่วนใหญ่พากันเห็นด้วยและเริ่มกลับมามองเขาในทางที่ดีขึ้น

บาร์นส์คืนบริษัทของตระกูลกลับมาให้ โทนี่เปลี่ยนแปลงตัวเองและสู้เพื่อบริษัทอย่างเต็มที่ เขาทำทุกทางเพื่อลบคำสบประมาทของพวกพนักงาน โดยมีแม่ บาร์นส์ และบรูซคอยอยู่เคียงข้าง นอกเหนือไปจากนี้ทั้งสามคนยังคอยให้กำลังใจเขาอีกด้วย อ้อ มีสตีฟอีกคน คุณหมอจอมโหดที่ชอบสั่งให้เขาไปพบจิตแพทย์ แถมคอยเป่าหูบัคกี้ให้เป็นห่วงเรื่องของเขาไม่หยุด

โทนี่ยิ้มออกมากขึ้น เขาทักทายและพูดคุยกับคนอื่นได้เกือบเหมือนปกติ ต้องใช้เวลานานทีเดียวถึงค้นพบว่าเขาที่แท้จริงคือใคร ถึงจะยังไม่มั่นใจนัก แต่เขาคิดว่าเขาคือคนที่เหมาะกับรอยยิ้มล่ะ

“คิดอะไรอยู่” บัคกี้เดินมากอดคอแล้วก้มลงจูบขมับโทนี่ “คิดถึงฉันอยู่หรือเปล่า หื้ม?”

“ไม่เลยสักนิดเดียว” โทนี่ตอบแบบลองเชิง คนตัวใหญ่หน้ามุ่ยในทันที “ฮะๆ ตลกแฮะ”

“แกล้งกันแบบนี้ระวังจะโดนดี คืนนี้โดนจัดหนักแน่เจ้าตัวแสบ”

“ไม่กลัวหรอก” โทนี่เอ่ยอย่างท้าทาย เขาซบแก้มลงกับท่อนแขนอีกฝ่าย “ไอ้คนซาดิสม์”

“แต่ก็เห็นนายชอบแล้วนี่ เริ่มสนุกแล้วใช่มั้ยล่ะ” บัคกี้ถาม ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตุดันจากคนตัวเล็ก ตาของโทนี่กระตุกอย่างรุนแรงจนดูเหมือนจะระเบิดได้เลยทีเดียว น่ากลัวดีแท้  “ต่อจากนี้นายไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ฉันจะคอยดูแลและปกป้องนายจนกว่าเราจะตายจากกัน ฉันสัญญา โทนี่”

คำพูดของบาร์นส์เป็นความรู้สึกปลอบประโลมและสงบสุขที่โทนี่ไม่เคยได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็ก แล้วโทนี่ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าถ้าตอนนั้นเขามองบาร์นส์ให้ลึกกว่านี้ ไม่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอก เขาคงมีความสุขไปนานแล้วหรือเปล่า?

“ฉันรักนายนะ โทนี่”

โทนี่พยักหน้ารับรู้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ประตูห้องทำงานก็เปิดออก บาร์นส์ผละออกไปยืนเว้นระยะห่าง บรซูเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มดูมีเลศนัยจนโทนี่รู้สึกเขินอายขึ้นมา

“ขอโทษที่มาขัดจังหวะสวีตหวานนะครับ” บรูซบอกพร้อมหัวเราะคิก “พอดีคุณมาเรียให้มาตามคุณบาร์นส์ไปพบน่ะครับ”

โทนี่หันไปมองบาร์นส์ที่หันมามองกันทันที เขาสองคนต่างกะพริบตาด้วยความงุนงง ก่อนบรูซจะผายมือให้บาร์นส์เดินนำตัวเองไป

“เดี๋ยวฉันมานะ”

โทนี่ใจคอไม่ดีเลย เขารู้สึกเหมือนว่าถ้าปล่อยบาร์นส์ออกไปล่ะก็เขาจะไม่ได้เจอชายคนนี้อีกแล้ว

“เอ่อ…”

“ไม่เป็นไร” บาร์นส์พูดดักเหมือนอ่านความคิดกันออก แล้วส่งรอยยิ้มมาดมั่นมาให้ “แล้วจะรีบกลับมา”

 

จะรีบกลับมาบ้าอะไรกัน!

โทนี่ด่าบาร์นส์อยู่ในใจ

หลังจากบาร์นส์ออกไปเมื่อตอนเช้า จนเย็นป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเลย

พระอาทิตย์คล้อยลงตกสู่ดินแล้ว มันลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับแรคคูนที่ไม่ยอมกลับมาหาเขาเสียที

โทนี่เดินวนไปวนมาในห้องทำงาน เขาไม่กล้าออกไปจากที่นี่เพราะกลัวว่าถ้าบัคกี้กลับมาแล้วไม่เห็นเขา อีกฝ่ายจะเป็นห่วงและออกตามหาทำให้เรายิ่งคลาดกัน

โทนี่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู มันชี้บอกเวลาหกโมงเย็น แปดชั่วโมงแล้วที่บัคกี้หายออกจากห้องนี้ไปแล้วยังไม่กลับมา

หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่น หรือแม่จะสั่งให้บัคกี้เลิกยุ่งกับเขา หรือแม่จะบอกให้บัคกี้เลิกกับเขา

โทนี่สะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งตีโพยตีพาย ให้ใจเย็นๆ รอบัคกี้กลับมาอธิบายดีกว่า

“โทนี่” ประตูห้องทำงานเปิดออกพร้อมเสียงของแม่ที่ดังขึ้น โทนี่หันไปมอง “เลิกกับบาร์นส์ซะ”

“ทะ…ทำไมล่ะครับ” โทนี่ถามด้วยความสงสัยระคนตกใจ แม่ปิดประตูแล้วเดินตรงเข้ามา สีหน้าท่าทางเอาเรื่องทีเดียว

“แม่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว มันข่มขืนลูก มันบังคับให้ลูกต้องยอมจำนนต่อมัน” เสียงของแม่แข็งกร้าว โทนี่เงียบเมื่อเถียงไม่ออก “มันเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังหมดแล้ว และแม่จะไม่ยอมให้มันได้ลูกไปแน่”

“แต่ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเขา เขาก็คอยดูแลผมเป็นอย่างดี แม่ก็เห็น”

“มันหลอกให้ลูกตายใจไง!”

“แต่เขาก็ช่วยให้ผมกลับมายืนในสังคมได้ใหม่อีกครั้ง” โทนี่โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้

คราวนี้เป็นฝ่ายแม่บ้างที่เงียบ แม่มองเขาด้วยสายตาอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ เขารู้แค่ว่าแม่ยังดูไม่ยอมแพ้ในการทำให้เขาเลิกกับบาร์นส์ ซึ่งเขาจะไม่มีวันให้มันเป็นอย่างนั้น เขาจะไม่ยอมปล่อยบาร์นส์ไปอีกแล้ว ทว่าสมองซีกขวาก็ดันเกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าบาร์นส์อยากเลิกล่ะ? ถ้าบาร์นส์เห็นคล้อยตามแม่ล่ะ?

“บาร์นส์อยู่ไหนครับ” ด้วยเหตุนี้โทนี่จึงตัดสินใจถามแม่ออกไปตรงๆ แม่ดูจะเหวอไปเล็กน้อยแล้วรีบกลับมาทำสีหน้าเดิม คือนิ่งและเต็มไปด้วยความบึ้งตึง “แม่ครับ ผมรู้ว่าแม่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ผมคบกับบาร์นส์ต่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันมาจากความสมัครใจของผมส่วนหนึ่งด้วย”

“แกโดนบังคับต่างหาก เลิกเข้าข้างมันเสียที!” แม่ตะคอก “เลิกยุ่งกับมันซะ แล้วพรุ่งนี้ไปพบคุณหมอสเตรนจ์กับฉันด้วย คุณหมอเหมาะกับแกมากกว่าบาร์นส์อีก”

“แต่ผมไม่ได้รักคุณหมอสเตรนจ์อะไรนั่น ผมรักบาร์นส์”

ชั่วแวบหนึ่งโทนี่เหมือนเห็นสีหน้าของแม่เปลี่ยนไป มันดูออกยากมากว่าเปลี่ยนไปในอารมณ์ใด เพราะแค่แป๊บเดียวสีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นอย่างเดิม แม่ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไม่ว่าแกจะปฏิเสธยังไงฉันก็จะให้แกลองศึกษาดูใจกับคุณหมอสเตรนจ์”

“แม่ครับ” โทนี่เสียงอ่อน เขาเริ่มไม่ชอบใจขึ้นมาแล้ว “แม่ไม่ฟังผมเลย”

“เพราะฉันฟังแกมาตลอดแกถึงได้ไปมีชีวิตตกต่ำมาไง คราวนี้ฉันจะไม่ฟังแกอีกต่อไปแล้ว ฉันจะจับแกใส่ตะกร้าล้างน้ำให้สะอาด”

“ของที่มันเคยสกปรกไปแล้ว ต่อให้ใช้ผงซักฟอกหรือวิธีการใดมันก็ไม่อาจกลับไปสะอาดได้ดังเดิมหรอกนะครับ”

แม่ดูไม่พอใจจนกลายเป็นโมโห แม่คิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่เปลี่ยนใจเดินกระแทกส้นเท้าออกไปจากห้องทำงานของเขาแทน โทนี่ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ แล้วใช้มืออีกข้างล้วงหยิบมือถือมากดโทรหาบาร์นส์

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป
23/07/2018
#ficmybitch